โรคแผลริมอ่อน เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดขึ้นจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดแผลที่มีขอบอ่อน (แผลริมอ่อน) บริเวณอวัยวะเพศ มีอาการบวม และปวดที่ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ และยังเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี เพราะการมีแผลที่รุนแรง ทำให้เป็นโรคติดต่อร้ายแรงแต่รักษาได้ ฉะนั้นเราควรเข้าใจโรคแผลริมอ่อน ถึงสาเหตุ อาการ การรักษา แลพการป้องกันเพื่อดูแลสุขภาพของตัวเอง
โรคแผลริมอ่อน คืออะไร?
โรคแผลริมอ่อน (Chancroid หรือ Soft chancre) บางครั้งเรียกว่า โรคซิฟิลิสเทียม เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ที่อวัยวะเพศทั้งชาย และหญิง เมื่อได้รับเชื้อจะทำให้เกิดมีตุ่มนูนแดงหลาย ๆ ตุ่ม โดยตุ่มดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ส่วนต่าง ๆ ของอวัยวะเพศ หลังจากนั้นจะเกิดเป็นแผล โดยขนาดของแผลจะอยู่ที่ประมาณ 3 มิลลิเมตร ไปจนถึง 5 เซนติเมตร ลักษณะของแผลจะคล้ายแผลเปื่อย นุ่มแต่แฉะ มีเนื้อเละบริเวณก้นแผล ส่วนขอบแผลจะนูนนิ่มแต่ไม่เรียบ หากปล่อยไว้นานตุ่มจะเริ่มขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นหนอง และก่อให้เกิดการระคายเคืองร่วมกับอาการต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตติดกันเป็นพืดและเจ็บ ทำให้สามารถแพร่เชื้อไปยังคู่นอนระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์ทางปาก รูทวาร หรือช่องคลอดได้
สาเหตุโรคแผลริมอ่อน
สาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ฮีโมฟิลุส ดูเครย์ (Haemophilus ducreyi) ทำให้มีแผลที่อวัยวะเพศคล้ายกับโรคซิฟิลิส โรคเริม โรคฝีมะม่วง และการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งเชื้อชนิดนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ที่หนอง และจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางรอยถลอกบนผิวหนัง หลังจากนั้นเชื้อจะสร้างสารพิษ ขึ้นมาทำให้เกิดแผลบริเวณอวัยวะเพศ และมีหนองไหล สำหรับลักษณะของแผลริมอ่อนจะมีขอบเขตไม่เรียบ ก้นแผลค่อนข้างลึก เซาะออกทางด้านข้าง และสกปรก มักมีอาการเจ็บที่แผลมาก และสามารถทำให้ป่วยด้วยโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ง่าย
ระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการ) :ประมาณ 1 – 14 วัน แต่เฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 5-7 วัน จึงเริ่มพัฒนาอาการให้เห็นชัดตามมา
ใครที่มีความเสี่ยงติดเชื้อโรคแผลริมอ่อน
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ทำการสวมถุงยางอนามัย
ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ หรือมีคู่นอนหลายคน
ผู้ที่ใช้บริการทางเพศ
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวาร
ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แถบแคริบเบียนและแอฟริกา
ผู้ที่เดินทางหรืออาศัยอยู่ในประเทศที่น้ำ อาหาร ที่อยู่อาศัย และระบบสาธารณสุขไม่สะอาด
อาการโรคแผลริมอ่อน
อาการโดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยจะมีอาการแตกต่างกันไปในผู้ชาย และผู้หญิง
ผู้ชาย มักพบบริเวณหนังหุ้มปลายและถุงอัณฑะ
ผู้หญิง มักพบบริเวณแคมเล็ก, ขาหนีบ และปากช่องคลอด
ลักษณะและอาการอื่น ๆ ที่มักพบร่วมกันในผู้ชายและผู้หญิง เช่น
หลังจากได้รับเชื้อผ่านทางเพศสัมพันธ์ประมาณ 3-7 วัน จะเกิดเป็นตุ่มนูนแดงบริเวณอวัยวะเพศ และค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นแผลหนอง
ขนาดของแผลมีตั้งแต่ ⅛ - 2 นิ้ว (3 มิลลิเมตร-5 เซนติเมตร) และมักมีมากกว่า 4 แผลขึ้นไป
มีอาการเจ็บ หรือปวดมาก บริเวณแผล
ตำแหน่งของแผลอาจเกิดได้ทั่วบริเวณอวัยวะเพศ
ลักษณะกลางแผลค่อนข้างนิ่ม มีความนูน ขอบแผลชัดเจน มีตั้งแต่สีเหลืองปนเทาไปจนถึงสีเทา
เมื่อสัมผัสหรือเสียดสีอาจทำให้เลือดออกที่แผลได้ง่าย
ปวดในขณะปัสสาวะ อุจจาระ หรือมีเพศสัมพันธ์
ในผู้หญิง อาจมีตกขาวมากและกลิ่นรุนแรง
มีอาการบวมของต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบข้างเดียวหรืออาจเป็นทั้ง 2 ข้าง
ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบบวมโตจนกลายเป็นแผลหนอง และอาจทำให้เกิดฝีขนาดใหญ่
ภาวะแทรกซ้อนของโรคแผลริมอ่อน
มีท่อ และมีหนองไหลตลอดเวลาติดต่อระหว่างอวัยวะที่ติดโรคหรือเป็นแผล เช่น ช่องคลอดกับทวารหนัก และเกิดรอยทะลุขึ้นของท่อปัสสาวะ (Urethral Fistula)กับผิวหนัง เป็นต้น
หนังหุ้มปลายองคชาติตีบตัน (Phimosis)จึงเปิดไม่ขึ้น ทำให้ทำความสะอาดยากจนส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรังที่ปลายองคชาติที่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงเกิดมะเร็งอวัยวะเพศชายได้
ทำให้มีโอกาสติดเชื้อโรคเอชไอวีได้ง่ายขึ้น และมีผลพวงจากการเป็นแผลที่มีการติดเชื้อชนิดอื่นๆ ซ้ำได้ง่าย
เกิดเป็นแผลเป็น แผลดึงรั้ง และพังผืดบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการมีเพศสัมพันธ์ได้
เกิดฝีขนาดใหญ่บริเวณที่เป็นหนอง
ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบอาจจะอักเสบจนแตกเป็นหนองไหลออกมา
อาจทำให้อวัยวะเพศแหว่งหายได้ หรือที่เรียกกันว่าโรคฮวบ
การวินิจฉัยโรคแผลริมอ่อน
แพทย์จะสอบถามอาการผิดปกติที่พบ ประวัติทางการแพทย์ และตรวจร่างกายทั่วไป ซึ่งจะต้องตรวจดูแผลที่เกิดบริเวณอวัยวะเพศอย่างละเอียด และทำการตรวจสอบโรคแผลริมอ่อน อย่างละเอียดโดยจะมีอยู่ 3 วิธีหลักๆ ที่นิยมใช้กัน ดังนี้
การเก็บตัวอย่างของเหลวจากบริเวณแผลหรือตกขาว และย้อมสีดูเชื้อ (Gram stain)
จะเป็นวิธีที่นิยม เนื่องจากได้ผลเร็ว และราคาถูก โดยแพทย์จะใช้สไลด์แก้ว น้ำยาเล็กน้อย และกล้องจุลทรรศน์ในการตรวจหาเชื้อ แต่ก็ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์เป็นอย่างมาก เนื่องจากการเก็บตัวอย่างในบางรายอาจได้เชื้อปริมาณที่น้อยทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน หรือถ้าดูแบบผ่านๆ ก็อาจทำให้ไม่เห็นเชื้อแบคทีเรียด้วยเช่นกัน
การเพาะเชื้อ (Bacterial culture)
เป็นวิธีการเก็บตัวอย่างเพื่อส่งไปเพาะเชื้อแล้วหาว่าเชื้อที่ได้มานั้นมีชนิดไหนบ้าง และมีอาการดื้อยาหรือไม่ แต่วิธีการนี้จะทำได้กับเฉพาะเชื้อที่ตายไปหมดแล้ว หรือป้ายไม่โดนบริเวณที่เชื้อยังมีชีวิตจึงจะได้ผล รวมถึงต้องเก็บเชื้อในสารเพาะเชื้อชนิดจำเพาะอีกด้วย
การตรวจ PCR (Polymerase Chain Reaction)
จะเป็นการตรวจที่มีความแม่นยำสูง และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือมากขึ้น โดยวิธีการจะเริ่มจากเก็บชิ้นส่วน DNA ของเชื้อที่อยู่ในช่องคลอด หรือที่บริเวณแผล เพื่อหาชิ้นส่วน DNA ของเชื้อ หลังจากนั้นจะส่งตรวจด้วยวิธีที่เรียกว่า PCR สามารถใช้วิธีนี้ตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสได้พร้อมกันหลายชนิด และสามารถเก็บสิ่งส่งตรวจไว้ได้นานถึง 14 วัน โดยไม่มีผลต่อความแม่นยำของการตรวจ
การตรวจโรคแผลริมอ่อนในปัจจุบันนี้ ยังไม่สามารถตรวจได้จากการเจาะเลือด แต่การตรวจเลือดอาจใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีความเสี่ยงเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น บางรายอาจได้รับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี เพราะมักเป็นโรคที่เกิดร่วมกันได้สูง ทั้งนี้แพทย์จะตรวจบริเวณขาหนีบเพื่อดูว่ามีต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วยหรือไม่ด้วย หากต่อมน้ำเหลืองมีหนองจะได้พิจารณาดูดหนองออก
นอกจากนี้ยังมีการตรวจพบโรคแผลริมอ่อนบ่อยครั้งจากการตรวจหาดีเอ็นเอของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคแผลริมอ่อน เช่น
ตรวจทางช่องคอ THROAT SWAB DNA TEST FOR 12 INFECTIONS
ตรวจทางช่องคลอด VAGINAL SWAB DNA TEST FOR 12 INFECTIONS
ตรวจทางปัสสาวะ URINE PCR DNA TEST FOR 12 INFECTIONS
ตรวจทางทวารหนัก ANAL SWAB DNA TEST FOR 12 INFECTIONS
การรักษาโรคแผลริมอ่อน
โรคแผลริมอ่อนส่วนใหญ่รักษาด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะการใช้ยาจะช่วยให้ผู้ป่วยหายได้ไวขึ้น และลดรอยแผลเป็น แต่ในบางรายที่มีอาการต่อมน้ำเหลืองบวมจนมีขนาดใหญ่อาจต้องเข้ารับการผ่าตัด
โดยแพทย์จะวินิจฉัยและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมให้ ดังนี้
การรักษาด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะมีอยู่หลายชนิด เช่น ยาอะซิโธรมัยซิน (Azithromycin) ยาซิโปรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin) ยาเซฟไตรอะโซน (Ceftriaxone) ยาอิริโทรมัยซิน (Erythromycin) ซึ่งจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและบรรเทาอาการให้ดีขึ้นภายใน 7 วัน เมื่อใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและถูกประเภท แต่สำหรับผู้ที่เกิดการติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วยอาจตอบสนองต่อยาได้ช้าลง และบางรายที่ใช้ยาไม่ได้ผลภายใน 7 วัน อาจจำเป็นต้องวินิจฉัยโรคใหม่อีกครั้ง
การผ่าตัด จะรักษาแผลริมอ่อนจะทำก็ต่อเมื่อเกิดแผลลุกลามจากต่อมน้ำเหลืองที่โตขึ้นจนกลายเป็นฝีอักเสบ และมีแผลขนาดใหญ่ ผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการผ่าตัด เพื่อระบายเอาหนอง หรือฝีออก และลดโอกาสปวดบวมของแผล ซึ่งแพทย์อาจใช้การผ่าตัดห รือเจาะเอาหนองออก ขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละคน การรักษาอาจใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน ในระหว่างนี้ ในระหว่างนี้ ผู้ป่วยควรงดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลจะหายสนิทดี ดูแลความสะอาดของร่างกายและแผล
นอกจากการรักษาด้วยการกินยา และการผ่าตัดแล้วก็ควรที่จะทำการดูแลตัวเองเพื่อให้หายจากโรคแผลริมอ่อนได้เร็วมากขึ้น และลดอัตราการเกิดโรคซ้ำ เช่น
ทำความสะอาดและล้างอวัยวะเพศบ่อยๆ
งดการมีเพศสัมพันธ์ รอจนกว่าจะแน่ใจว่าแผลหายและไม่มีการติดเชื้อซ้ำ เพื่อลดอัตราการแพร่เชื้อให้กับคู่นอน นอกจากนี้การมีเพศสัมพันธ์ยังทำให้มีอาการเจ็บจากการที่แผลโดนเสียดสี และเสี่ยงต่อการแพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่นได้
งดดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด จนกว่าแผลจะหาย
ใช้น้ำเกลือล้างทำความสะอาดบริเวณแผลแล้วเช็ดแผลให้แห้ง
การป้องกันโรคแผลริมอ่อน
วิธีการป้องกันที่ดีที่สุด คือ ป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อโรคตั้งแต่แรก ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
งดเว้นการมีเพศสัมพันธ์
สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งขณะมีเพศสัมพันธ์
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรคนี้ หรือมีบาดแผลบริเวณอวัยวะเพศ
รักษาความสะอาดของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศ
ควรตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุกปี
ผู้ที่เป็นโรคควรงดการมีเพศสัมพันธ์ทุกรูปแบบ หรือในรายที่คาดว่าได้รับเชื้อควรงดการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 10 วัน และไปพบแพทย์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มมึนเมา หรือยาเสพติดประเภทต่างๆ (การดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มมึนเมา หรือการใช้ยาเสพติดต่างๆ มีผลทำให้ขาดสติ ขาดความยับยั้งชั่งใจ และอาจนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันได้)
สำหรับสตรีมีครรภ์ทุกราย แพทย์แนะนำว่าควรได้รับการตรวจคัดกรองแผลริมอ่อนระหว่างการตั้งครรภ์
โรคแผลริมอ่อน เป็นโรคที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพเพศ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี เนื่องจากการมีแผลที่รุนแรงอาจทำให้มีโอกาสในการติดเชื้อไวรัส ฉะนั้นการเข้าใจถึงสาเหตุ, อาการ, การรักษา, และการป้องกันเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถดูแลสุขภาพเพศของเราได้อย่างเหมาะสม หลีกเลี่ยงเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย รวมถึงการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ ก็เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคนี้ เพื่อให้สามารถดูแลสุขภาพเพศของตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ
Comments