top of page
Siri Writer

ถุงยางอนามัย: ความรู้เพื่อความปลอดภัยในการมีเพศสัมพันธ์

Updated: Dec 10, 2023

การมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องปกติ แต่ต้องมั่นใจว่าตัวเรามีความพร้อม เพราะหากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีความพร้อม สามารถทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ ไม่ว่าจะเป็นการท้องก่อนวัยอันควร หรือการตั้งท้องทั้งที่ยังไม่พร้อมจะมีบุตร และอาจจะทำให้มีโอกาสเสี่ยงติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ง่าย เพราะการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ เพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากถึง 5 เท่า เนื่องจากการสัมผัสอวัยวะเพศ และสารคัดหลั่งโดยตรงกับคนอื่น เช่น โรคซิฟิลิส, โรคเอดส์, หรือโรคหนองใน


ฉะนั้นการเตรียมพร้อมก่อนมีเพศสัมพันธ์ โดยเพิ่มความรู้เกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัย เพื่อความปลอดภัยในการมีเพศสัมพันธ์ทั้งตนเอง และผู้อื่น เพราะการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง เป็นวิธีการป้องกันที่ง่าย และมีประสิทธิภาพมาก

ภาพถุงยางอนามัยที่แสดงความรู้เพื่อความปลอดภัยในการมีเพศสัมพันธ์
ถุงยางอนามัย : ความรู้เพื่อความปลอดภัยในการมีเพศสัมพันธ์

ถุงยางอนามัยคือ?

ถุงยางอนามัย (Condom) มาจากภาษาละติน แปลว่า ภาชนะที่รองรับ ทำด้วยวัสดุจากยางพารา หรือโพลียูรีเทน เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากน้ำยางธรรมชาติ น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่น โดยขบวนการจุ่มแบบพิมพ์ ใช้สวมครอบอวัยวะเพศชายเพื่อการคุมกำเนิด และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส หนองใน และเอดส์ได้


โดย ถุงยางอนามัยจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ ประเภทหนึ่งตามพระราชบัญญัติ เครื่องมือแพทย์ พ.ศ.2531 ซึ่งผู้ผลิต หรือผู้นำเข้าจะต้องขอรับใบอนุญาต จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และถุงยางอนามัยจะต้องมีคุณภาพมาตรฐานตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนดไว้

ชนิดของถุงยางอนามัย

ปัจจุบันมีเพียง 2 ชนิดเท่านั้นคือ ชนิดที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติและจากสารสังเคราะห์ ส่วนชนิดที่ทำจากลำไส้สัตว์ ปัจจุบันไม่ได้รับความนิยมแล้ว

  • ชนิดที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ (rubber condom or latex condom)

    • ข้อดี คือ ราคาถูก มีความบาง และยืดหยุ่นได้ดีกว่าชนิดที่ทำจากลำไส้สัตว์ การสวมใส่กระชับรัดแนบเนื้อ สามารถใช้ได้ทั้งเพื่อการคุมกำเนิดและป้องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    • ข้อด้อย คือ ไม่สามารถใช้ร่วมกับสารหล่อลื่นประเภทที่ผลิตจากน้ำมันปิโตรเลียม หรือน้ำมันหล่อลื่นผิวหนัง พวก Mineral oil ได้ เพราะจะทำให้โครงสร้างของน้ำยางเสื่อมลง ส่งผลต่อคุณภาพและการป้องกัน แต่ใช้ได้กับสารหล่อลื่นชนิดที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก (water-based lubricant)

  • ชนิดที่ทำจาก Polyurethane หรือ Polyisoprene (ถุงยางพลาสติก) โดยแก้ไขข้อด้อยของถุงยางจากน้ำยางธรรมชาติ คือ เหนียวกว่า ทนต่อการฉีกขาด เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวแพ้ยางพารา สามารถใช้สารหล่อลื่นที่ผลิตจากน้ำมันปิโตรเลียม หรือน้ำมันหล่อลื่นผิวหนัง พวก Mineral oil ได้ และที่สำคัญคือสามารถทำให้บางได้ถึง 01 มิลลิเมตร ทำให้รู้สึกเสมือนไม่ได้ใส่อะไรเลย (feels like not wearing anything) แต่ราคาอาจสูงกว่าแบบน้ำยางพารา

ภาพถุงยางที่ป้องกันการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์
ป้องกันการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์

ประโยชน์ของถุงยางอนามัย

คุมกำเนิด

หน้าที่ของถุงยางอนามัย คือ การป้องกันไม่ให้อสุจิเล็ดลอดเข้าไปในบริเวณช่องคลอดได้ ซึ่งการสวมถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์จะช่วยให้มีโอกาสคุมกำเนิดได้มากขึ้น เมื่อมีการสวมถุงยางอนามัยที่ถูกวิธี ดังนั้นควรสวมถุงยางตลอดเวลาที่มีเพศสัมพันธ์ และสังเกตให้ดีก่อนว่าถุงยางอนามัยที่สวมอยู่นั้นรั่วหรือชำรุดหรือไม่ สามารถคุมกำเนิดได้ถึง 98 % หากใช้อย่างถูกวิธี


ป้องกันการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์

นอกเหนือจากการป้องการการตั้งครรภ์แล้ว ถุงยางอนามัยยังช่วยลดโอกาสการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ เช่น โรคเอดส์ กามโรค หนองใน ซิฟิลิส เป็นต้น เพราะการรติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ส่วนใหญ่เกิดจากการสัมผัสกันโดยตรงของสารคัดหลั่งและอวัยวะเพศ ทำให้มีโอกาสได้รับเชื้อโรคหรือเชื้อไวรัสได้ง่ายโดยสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ในกลุ่มชายรักชาย ถึง 70-87 % ในกลุ่มคู่รักชายหญิง ได้มากกว่า 90 % (กลุ่มชายรักชาย มีเปอร์เซ็นต์ป้องกันต่ำกว่า เนื่องจากมีการร่วมเพศทางทวารหนักเป็นหลัก ซึ่งอาจมีการฉีกขาดของทวารหนักระหว่างร่วมเพศ จึงมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี มากกว่าการร่วมเพศแบบปกติของชายหญิง) และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น โรคเริม โรคตับอักเสบบี โรคหูดหงอนไก่ โรคหนองในแท้ และเทียม โรคซิฟิลิส ได้ถึง 50-90%


ลดการบาดเจ็บจากการมีเพศสัมพันธ์

ถุงยางอนามัยมีส่วนผสมของสารหล่อลื่นในปริมาณที่พอเหมาะ เมื่อใช้ขณะมีเพศสัมพันธ์จะทำให้ลดโอกาสบาดเจ็บของอีกฝ่ายได้ ทั้งนี้ถุงยางอนามัยสามารถใช้ร่วมกับสารหล่อลื่นได้อีกด้วย


ช่วยเพิ่มอรรถรสทางเพศได้

ถุงยางอนามัยในปัจจุบันมีให้เลือกใช้งานได้หลายรูปแบบ ทั้งผิวเรียบ ผิวไม่เรียบ ผิวขรุขระ มีสี มีกลิ่น ให้เลือกใช้งานได้ตามรสนิยมของผู้ใช้งาน จึงทำให้ช่วยเพิ่มอรรถรสในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ได้


ความแตกต่างของถุงยางอนามัย มีอะไรบ้าง?

  • ชนิด ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมีด้วยกัน 2 ชนิด คือ ชนิดที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ (Latex Condom) และชนิดที่ทำจากสารสังเคราะห์ (Polyurethane Condom)

  • ขนาด มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 13 ขนาด คือ ตั้งแต่ 44 มิลลิเมตร จนถึง 56 มิลลิเมตร

  • รูปทรง มีทั้งแบบที่เป็นทรงกระบอกตรง (straight) และแบบลูกคลื่น (rippled)

  • ลักษณะก้นถุง มีทั้งแบบเรียบ หรือมน (plain) และแบบที่เป็นกระเปาะ (reservoir-ended or teat) สำหรับเก็บน้ำอสุจิ

  • ความบาง โดยทั่วไปถุงยางอนามัยจะมีความหนาตามมาตรฐานคือ 0.05 - 0.07 มม. แต่ปัจุบันมีการผลิตถุงยางที่มีความบางเป็นพิเศษ เพียง 0.02 - 0.01 มม. ออกมาอีกด้วย ทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกถึงสัมผัสที่แนบสนิทเหมือนไม่ได้ใส่

  • ผิวถุงยาง มีหลายแบบให้เลือก ทั้งแบบที่เป็นผิวเรียบ (smooth) และแบบผิวไม่เรียบ (textured) หรือผิวขรุขระ

  • สีสัน มีหลากหลายสีให้เลือก ทั้งแบบสีธรรมชาติ สีประกายรุ้ง และแบบเรืองแสงในที่มืด เช่น สีเขียว สีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน สีชมพู ฯลฯ

  • กลิ่นและรส มีหลายกลิ่นหลายรสให้เลือกตามความชอบ เช่น กลิ่นสตรอเบอรี่ กลิ่นมิ้นท์ กลิ่นกล้วยหอม รวมถึงกลิ่นทุเรียน แต่ถุงยางอนามัยที่มีการแต่งกลิ่นนั้นเป็นการแต่งกลิ่นเท่านั้นแต่มิได้มีรสชาติของผลไม้ตามที่ท่านเห็นอยู่บนฉลากแต่อย่างใด

  • คุณสมบัติพิเศษ มีสารหล่อลื่น สารชะลอการหลั่ง สารฆ่าเชื้ออสุจิและป้องกันโรคติดต่อ เป็นต้น

  • ปัจจุบันยังพบว่ามีการจำหน่ายถุงยางอนามัยชนิดพิเศษ เช่น มีการฝังมุก มีขนม้าแซม มีฟองน้ำ หรือมี ขอบตาแพะ ซึ่งถุงยางอนามัยเหล่านี้เป็นการลักลอบผลิต หรือนำเข้า โดยมิได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ถุงยางอนามัยเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติในการคุมกำเนิดหรือป้องกันโรคแต่อย่างใด ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะมุ่งหวังเพียง เพื่อสร้างความสุข และความพอใจให้แก่คู่นอนเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้หญิงจะได้รับความเจ็บปวด ระคายเคืองมากกว่า และก่อให้เกิดโอกาสในการติดเชื้อเพิ่มขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ถุงยางอนามัยชนิดนี้

ภาพถุงยางอนามัยแบบผิวไม่เรียบ
ถุงยางอนามัยแบบผิวไม่เรียบ

ถุงยางอนามัย มีกี่แบบ อะไรบ้าง?

ปัจจุบันถุงยางอนามัย มีด้วยกันอยู่ 6 แบบ ที่มีขายอยู่ทั่วไปดังนี้


ถุงยางอนามัยแบบมาตรฐาน

เป็นถุงยางอนามัยแบบพื้นฐานที่ไม่ได้มีคุณสมบัติอะไรเป็นพิเศษ เหมาะสำหรับคนทั่วไป เพียงแค่เลือกขนาดให้เหมาะกับขนาดของน้องชาย ซึ่งถุงยางอนามัยประเภทนี้จะแพร่หลาย หาซื้อง่าย และมีราคาถูกที่สุด เมื่อเทียบกับถุงยางอนามัยที่มีคุณสมบัติพิเศษอื่น ๆ


ถุงยางอนามัยแบบบาง

เป็นถุงยางอนามัยที่มีความบางพิเศษมากกว่าถุงยางอนามัยทั่วไป (0.06 ม.ม.) แต่ไม่บางจนเกินไป ซิ่งจะบางลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความรู้สึกสัมผัสที่ใกล้ชิด คล้ายกับไม่ได้สวมถุงยางอนามัย


ถุงยางอนามัยแบบผิวไม่เรียบ

ถุงยางอนามัยแบบผิวไม่เรียบมีหลากหลายแบบ ทั้งแบบปุ่ม แบบขีด หรือแบบผสม ซึ่งผิวด้านนอกของถุงยางอนามัยจะมีปุ่ม หรือขีดนูนขึ้นมา ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากถุงยางอนามัยทั่วไปที่มีผิวเรียบปกติ และไม่เพียงแค่ทางช่องคลอดเท่านั้น เพราะถุงยางแบบผิวขรุขระยังกระตุ้นความรู้สึกเป็นอย่างมากเมื่อใช้กับทวารหนัก


ถุงยางอนามัยแบบมีกลิ่นหรือรส

ถุงยางอนามัยประเภทแต่งกลิ่น หรือรส เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบการทำออรัลเซ็กส์แล้วไม่ค่อยชอบกลิ่นของถุงยาง ก็สามารถเลือกใช้ถุงยางอนามัยประเภทนี้เพื่อแก้ไขปัญหาได้ เพราะกลิ่นหอมจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และเพลิดเพลิน นอกจากนี้ถุงยางอนามัยมีกลิ่นยังช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในช่วงกิจกรรมของคุณได้อีกด้วย


ถุงยางอนามัยผสมสารหล่อลื่น

ในปัจจุบันหลายรุ่นก็มักจะมีการผสมสารหล่อลื่นมาบ้างอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีแบบที่ผสมสารหล่อลื่นมาให้มากเป็นพิเศษอีกเช่นกัน ทำให้ไม่ต้องซื้อเจลหล่อลื่นมาใช้เพิ่ม หรืออาจช่วยให้ต้องใช้เจลหล่อลื่นน้อยลงกว่าเดิม วัตถุประสงค์ของสารหล่อลื่น คือทำให้ถุงยางมีความลื่น และง่ายต่อการใช้ อีกทั้งป้องกันไม่ให้ถุงยางฉีกขาดอีกด้วย


ถุงยางอนามัยช่วยชะลอการหลั่ง

มีคุณสมบัติทำให้ช่วยยืดระยะเวลาให้นานขึ้น สามารถช่วยชะลอการหลั่งได้โดยตรงไม่เป็นอันตราย และไม่ทิ้งสารตกค้าง เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหลั่งเร็วที่ทำให้ผู้หญิงไม่ถึงจุดสุดยอด หมดปัญหาล่มปากอ่าว ให้คุณได้มีความสุขได้ยาวนานยิ่งขึ้น


วิธีเลือกซื้อถุงยางอนามัย

  • อ่านฉลากก่อนซื้อ การอ่านฉลากถุงยางอนามัยก่อนซื้อทุกครั้ง จะทำให้ทราบว่าถุงยางอนามัยดังกล่าว มีเครื่องหมาย อย. หรือไม่, ถุงยางอนามัยหมดอายุการใช้งานหรือยัง, มีความเหมาะสมตรงกับความต้องการของผู้ใช้หรือไม่

  • เลือกขนาดถุงยางอนามัย โดยขนาดความกว้างของถุงยางอนามัย (ครึ่งหนึ่งของเส้นรอบวงของถุงยางอนามัย) สามารถแบ่งออก เป็น 13 ขนาด คือ 44, 45, 46, 47, 48, 49, 50, 51, 52, 53, 54, 55 และ 56 มิลลิเมตร(มม.) ซึ่งขนาดที่มีจำหน่ายในเมืองไทย ส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 49 มม. 51 มม. และ 52 มม. ถ้าเลือกซื้อขนาดที่ใหญ่เกินไปจะหลวมและหลุดง่าย หากขนาดเล็กไปจะฉีกขาดได้ง่าย

  • ชนิดของถุงยางอนามัย โดยแบ่งชนิดตามลักษณะผิว มี 2 ชนิด คือ ชนิดผิวเรียบ และชนิดผิวไม่เรียบ การเลือกซื้อควรสังเกตดูว่า เป็นชนิดที่ตรงกับความต้องการของตนเองหรือไม่ นอกจากนี้ ควรสังเกตข้อความอื่น ๆ เช่น ชื่อผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า รุ่นที่ผลิต เดือนปีที่ผลิต มีสารหล่อลื่นหรือสารฆ่าเชื้ออสุจิ มีสารแต่งกลิ่นหรือไม่ ฯลฯ

  • ตรวจดูบรรจุภัณฑ์ถุงยางอนามัย ควรตรวจดูลักษณะของซองย่อยหรือกล่องบรรจุว่า ชำรุดหรือฉีกขาดหรือไม่ หากพบการชำรุดหรือ ฉีกขาดไม่ควรเลือกซื้อ โดยให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าถุงยางอนามัยที่บรรจุอยู่ภายในอาจฉีกขาดหรือเสื่อมคุณภาพแล้ว

  • การจัดวางถุงยางอนามัย ควรซื้อจากร้านค้าที่มีการเก็บถุงยางอนามัยให้พ้นจากแสงแดด หรือความร้อน

ภาพแสดงวิธีเลือกขนาดถุงยางอนามัย
วิธีเลือกขนาดถุงยางอนามัย

วิธีเลือกขนาดถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัยที่เหมาะสมกับแต่ละคน สามารถสังเกตด้วยตัวเองได้ จากเมื่ออวัยวะเพศมีการแข็งตัวเกิดขึ้น โดยทั่วไปจะขยายได้ใหญ่กว่าเดิม 3-5 เท่า การแข็งตัวเกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อคล้ายฟองน้ำเป็นลำยาวตลอดองคชาตที่เรียกว่า corpora cavernosa เริ่มเต็มไปด้วยเลือดที่ถูกสูบฉีดมาหล่อเลี้ยง เมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศ


การเลือกขนาดถุงยางอนามัย ควรเลือกให้พอดี ไม่หลวม หรือคับแน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้ฉีกขาดง่าย หรือหลุดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งขนาดของถุงยางจะแตกต่างกันไปตามแต่ละยี่ห้อ โดยวัดจากเส้นรอบวงองคชาต ไม่ใช่ความยาว เพราะถุงยางอนามัยเกือบทุกยี่ห้อ จะทำความยาวมาเท่า ๆ กัน คือประมาณ 6-7 นิ้วเท่านั้น ใครที่มีอวัยวะเพศที่ยาวกว่านี้ก็อาจไม่สามารถครอบได้หมด ถุงยางอนามัย จะบอกเส้นรอบวงเป็นมิลลิเมตร ดังนี้

ขนาด (มิลลิเมตร)

เส้นรอบวงองคชาต (เซนติเมตร)

เส้นรอบวงองคชาต (นิ้ว)

49 mm.

11 - 12

5

52 mm.

12 - 13

5

54 mm.

13 - 14

5

56 mm.

14 - 15

6

วิธีการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง

ทุกคนทั้งเพศหญิงและเพศชายควรมีความรู้ และความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการใส่ถุงยางอนามัยให้ถูกวิธี ทั้งนี้เมื่อต้องใช้งานจริงจะทำให้ไม่เกิดปัญหาการใช้ถุงยางอนามัยที่ผิดวิธีและส่งผลให้การป้องกันขณะมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ผล

  • นำถุงยางอนามัยออกจากซองบรรจุอย่างระมัดระวัง ควรฉีกซองถุงยางอนามัยให้ตรงตามรอยที่กำหนดให้ ห้ามใช้ฟันกัดเพื่อฉีกซอง และระวังเล็บมือไปเกี่ยว หรือขีดข่วนถุงยางอนามัยจนขาดละอย่าคลี่ถุงยางอนามัยออกก่อนการสวมใส่

  • บีบส่วนปลายของถุงยางอนามัยเพื่อไล่อากาศออก

  • รูดถุงยางอนามัยให้ขอบถุงยางอนามัยที่ม้วนอยู่ด้านนอก

  • ต้องสวมใส่ถุงยางขณะที่อวัยวะเพศยังแข็งตัวเต็มที่เพื่อป้องกันการหลุดขณะใช้ และควรถอนอวัยวะเพศชายออกเมื่อยังแข็งตัวอยู่ เพื่อป้องกันถุงยางอนามัยหลุดออกตอนถอนตัวในขณะที่อวัยวะเพศอ่อนตัวลงแล้วนั่นเอง หากอวัยวะเพศไม่ได้ขลิบส่วนปลายให้รูดหนังส่วนปลายก่อนการสวมใส่ ค่อย ๆ รูดถุงยางอนามัยเข้าหาตัวผู้ใช้จนสุด

  • ห้ามใช้น้ำมัน หรือวาสลีน เพราะจะทําให้ถุงยางอนามัยอ่อนตัวลง และแตกง่าย ควรใช้เป็นสารหล่อลื่นแบบน้ำแทน

  • หลังเสร็จกิจ ให้ดึงอวัยวะเพศออกทันที และถอดถุงยางอนามัยออกก่อนที่อวัยวะเพศจะอ่อนตัว โดยใช้กระดาษชำระ พันโคนถุงยางอนามัยก่อนที่จะถอด หากไม่มีกระดาษชำระจะต้องไม่ให้มือสัมผัสกับถุงยางอนามัย ควรสันนิษฐานว่า ด้านนอกของถุงยางอนามัยอาจปนเปื้อนเชื้อโรคแล้ว

  • ถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วให้ทิ้งในถังขยะ หรือนำไปเผา

  • ในกรณีที่จะมีเพศสัมพันธ์ต่อเลยอีกครั้ง ควรทิ้งถุงยางอนามัยอันเก่าแล้วเปลี่ยนอันใหม่ เนื่องจากประสิทธิภาพของการป้องกันเชื้อโรคจะลดลง

ภาพแสดงข้อควรระวังในการใช้ถุงยางอนามัย
ข้อควรระวังในการใช้ถุงยางอนามัย

ข้อควรระวังในการใช้ถุงยางอนามัย

นอกจากการเลือกซื้อที่ถูกต้องแล้ว ผู้ใช้งานต้องคำนึงถึงข้อควรระวัง หรือข้อควรปฏิบัติในการใช้ถุงยางอนามัยด้วย โดยสิ่งที่ต้องคำนึงได้แก่

  • ถุงยางอนามัยมีวันหมดอายุ ควรตรวจสอบวันหมดอายุก่อนนำมาใช้งานทุกครั้ง เนื่องจากสารหล่อลื่นที่อยู่ในซองถุงยางอนามัยนั้นอาจเสื่อมสภาพหรือหมดอายุไปแล้ว เมื่อนำมาใช้อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือถุงยางอนามัยชำรุดได้

  • ระยะเวลาในการใช้งาน การใช้ 1 ชิ้นจะต้องใช้ไม่เกิน 30 นาที เพราะความสมบูรณ์ของตัวถุงยางอนามัยอาจจะเสื่อมสภาพลง ทำให้ถุงยางอนามัยรั่วได้ ควรใช้เพียงครั้งเดียว ใช้แล้วทิ้งเท่านั้น ห้ามนำกลับมาใช้ใหม่โดยเด็ดขาด

  • สวมถุงยางอนามัยให้ถูกด้าน เมื่อฉีกถุงยางอนามัยออกมาจากซองแล้ว ให้หันด้านที่มีกระเปาะตรงส่วนหัวออกด้านนอก และสวมลงบนอวัยวะเพศที่แข็งตัวอยู่ ถ้าสวมถูกด้านจะสามารถรูดถุงยางอนามัยลงได้ง่าย

  • บีบไล่อากาศที่ปลายถุงยางก่อนใส่ทุกครั้ง ก่อนสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งควรบีบไล่อากาศออกก่อน เพราะอากาศที่อยู่บริเวณปลายถุงยางอาจจะทำให้ถุงยางอนามัยแตกหรือฉีกขาดได้ง่าย

  • ระวังสารหล่อลื่น การใช้สารหล่อลื่นบางชนิดอาจมีผลกับตัวถุงยางอนามัย จึงควรหลีกเลี่ยงสารหล่อลื่นที่เป็นน้ำมันพืช น้ำมันแร่เป็นตัวละลาย เช่น ปิโตรเลี่ยมเจลลี่ น้ำมันทาผิว น้ำมันปรุงอาหาร น้ำมันใส่ผม ฯลฯ เนื่องจากสารเหล่านี้จะทำปฏิกิริยาจนเกิดความเสียหายต่อถุงยางอนามัยได้ เช่น ทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพ และมีรูรั่วได้ในเวลาอันสั้นแม้เพียงเสี้ยวนาที

  • การเก็บรักษาให้พ้นจากความร้อน หรือแสงแดด และไม่ควรเก็บในที่ชื้น เช่น ในช่องเก็บของบนพาหนะเนื่องจากมีความร้อนสูง และไม่ควรเก็บในที่ถูกทับ หรือบีบรัด เช่น กระเป๋ากางเกง กระเป๋าเงิน เพราะจะมีการกดทับหักงอ ทำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาดได้ง่าย หรือซองบรรจุฉีกขาดทำให้มีการปนเปื้อนจากภายนอกได้

การมีเพศสัมพันธ์ กับผู้อื่น ควรป้องกันตัวเอง และผู้อื่นด้วยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง จะช่วยลดปัญหาที่ตามมาภายหลัง ทั้งการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร และการติดโรคทางเพศสัมพันธ์ ด้วยการเริ่มเปลี่ยนทัศนคติ หรือการมีทัศนคติที่ดีต่อการใช้ถุงยางอนามัย ไม่ควรเขินอาย เพราะกลัวว่าจะถูกล้อเลียนในตอนซื้อ หรือตอนใช้ รวมถึงการพกถุงยางอนามัยไว้กับตัวเองตลอดเวลา และก็ไม่ควรมองว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ ตลอดจนถึงเรียนรู้การใช้งานถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธี ซึ่งเป็นอีกสิ่งจำเป็นที่ทุกคนควรให้ความสำคัญก่อนการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อการรักษาความสัมพันธ์ทางเพศที่มีความสุข และปลอดภัย


Comments


bottom of page