เมื่อพูดถึงเรื่องของเชื้อเอชไอวี (HIV) และโรคเอดส์ (AIDS) ความสับสนมักเกิดขึ้นในความคิดของคนส่วนใหญ่. ถึงแม้ทั้งสองนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย, แต่มีความแตกต่างที่สำคัญที่ควรได้รับความสนใจ. บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยเพิ่มความตระหนักรู้และความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างเชื้อเอชไอวี (HIV), เชื้อเอชไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเอดส์, และโรคเอดส์ที่เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี. เพื่อการป้องกันและการดูแลตนเองที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป.
การตระหนักรู้เกี่ยวกับเชื้อเอชไอวี (HIV) เป็นการที่สำคัญ เนื่องจากเชื้อนี้ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย, ทำให้ร่างกายอ่อนแอต่อโรคต่าง ๆ. ในขณะที่ เชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) เป็นตัวกระทำที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ ส่วนโรคเอดส์ เป็นผลลัพธ์ของการติดเชื้อนี้ในระยะสุดท้าย การรับรู้ถึงความแตกต่างนี้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ทุกคนสามารถป้องกันตนเอง และดูแลสุขภาพของตนอย่างเหมาะสม. การศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เอชไอวี หรือไวรัสเอชไอวี และโรคเอดส์จะเสริมสร้างความเข้าใจและสามารถตอบสนองต่อความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม.
เอชไอวี คืออะไร?
เอชไอวี เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Human Immunodeficiency Virus : HIV ซึ่งเป็นไวรัสเข้าทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้น เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำลาย ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร หรือทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่องนั่นเอง
โดยปกติระบบภูมิคุ้มกันของเราสามารถกำจัดไวรัสจำนวนมากในร่างกายของเราได้อย่างสมบูรณ์ แต่นั่นไม่ใช่กรณีของการติดเชื้อเอชไอวี อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีนั้นสามารถควบคุมเชื้อเอชไอวีได้สำเร็จโดยการขัดขวางวงจรชีวิตของไวรัส เพื่อไม่ให้พัฒนาเปลี่ยนเป็นโรคเอดส์ได้
โรคเอดส์ คืออะไร?
โรคเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome - AIDS) คือ กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรืออาการของการติดเชื้อโรคแทรกซ้อน โดยผู้ที่ได้รับเชื้อเอชไอวี ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ในขณะที่เชื้อเอชไอวี เข้าทำลายระบบภูมิคุ้มครองของร่างกาย จนภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายลดต่ำลง ทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับการติดเชื้ออื่น ๆ ได้อย่างปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุที่นำไปสู่อาการของโรคเอดส์หรือเอชไอวีระยะที่ 3 ซึ่งในระยะนี้ยังทำให้เกิดการติดเชื้อฉวยโอกาส ได้แก่ วัณโรค ปอดบวม และอื่นๆ
หากผู้ติดเชื้อเอชไอวี ได้ปฏิบัติตามการรักษาด้วยยาต้านไวรัส จากแพทย์อย่างเหมาะสม ก็สามารถป้องกันไม่ทำให้เกิดโรคเอดส์ หรือเอชไอวีระยะที่ 3 ได้
อาการของโรคเอดส์
เมื่อภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายลดต่ำลง และการลดลงของเซลล์ CD4 ทำให้เกิดอาการของโรคเอดส์ ดังนี้
โรคท้องร่วงที่กินเวลานานกว่าหนึ่งสัปดาห์
ไอแห้ง
การสูญเสียความทรงจำ ภาวะซึมเศร้า และความผิดปกติทางระบบประสาท
โรคปอดอักเสบ
เหนื่อยล้าอย่างลึกซึ้งโดยอธิบายไม่ได้
น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว
มีไข้ซ้ำ หรือเหงื่อออกมากตอนกลางคืน
มีจุดสีแดง สีน้ำตาล สีชมพู หรือสีม่วงบนหรือใต้ผิวหนัง หรือภายในปาก จมูก หรือเปลือกตา
ต่อมน้ำเหลืองบวมบริเวณรักแร้ ขาหนีบ หรือคอ
จุดขาวหรือรอยตำหนิผิดปกติบนลิ้น ในปาก หรือในลำคอ
การวินิจฉัยโรคเอดส์
การวินิจฉัยโรคเอดส์ นั้นมีความซับซ้อนมากขึ้น เพราะโรคเอดส์ เป็นการติดเชื้อเอชไอวีระยะสุดท้าย แพทย์จะทำการมองหาปัจจัยบางประการเพื่อพิจารณาว่า HIV latency ได้พัฒนาไปสู่ระยะที่ 3 หรือไม่ และอาจตรวจเพิ่มเติมว่าผู้ป่วยมีโรค หรืออาการแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายอย่างอื่นอีกหรือไม่
โดยจะมีการซักประวัติทางการแพทย์ ตรวจร่างกาย และอาจต้องมีการทดสอบอื่นๆ อีกดังนี้
การนับเม็ดเลือดที่สมบูรณ์
โปรไฟล์เคมีในเลือด
การทดสอบไวรัสตับอักเสบบีและซี
การตรวจเลือดเพื่อวัดเซลล์ CD4 เนื่องจากไวรัสใช้เซลล์เหล่านี้เพื่อคัดลอกตัวเองฆ่าเซลล์ CD4 ในกระบวนการ จำนวน CD4 เซลล์ที่ต่ำจึงเป็นตัวบ่งชี้ความก้าวหน้าของโรค
การตรวจเลือดเพื่อวัดปริมาณไวรัสหรือปริมาณเอชไอวีในตัวอย่างเลือด ผู้ที่มีปริมาณไวรัสสูงมักจะพัฒนาโรคเอดส์ได้เร็วกว่าผู้ที่มีปริมาณไวรัสต่ำ
การตรวจคัดกรองซิฟิลิส
การทดสอบผิวหนังวัณโรค
การทดสอบแอนติบอดีของทอกโซพลาสมา
การรักษาโรคเอดส์
เป้าหมายหลักของการรักษาด้วยยาต้านไวรัส คือ ลดการเพิ่มจำนวนเอชไอวีให้มากที่สุด เป้าหมายรอง คือ เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันฟื้นตัว และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อและมะเร็งต่างๆ ที่เกิดจากผู้ป่วยโรคเอดส์ ซึ่งเป็นการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี ซึ่งยาต้านไวรัสเอชไอวี มีคุณสมบัติในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อเอชไอวีในกระแสเลือด เมื่อจำนวนเชื้อลดลง ร่างกายก็สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยส่วนมากสามารถทำงานและดำรงชีวิตตามปกติได้ และลดการเสียชีวิตจากโรคฉวยโอกาส
การกินยาต้านไวรัส้เอชไอวีนั้น ต้องกินให้ถูกต้อง ตรงเวลา และต่อเนื่องตลอดชีวิต เนื่องจากยาไม่สามารถกำจัดเชื้อเอชไอวีให้หมดไปจากร่างกายได้ ยาจะช่วยควบคุมจำนวนเชื้อให้มีน้อยที่สุด การกินยาตรงเวลา และต่อเนื่อง เพื่อไม่เปิดโอกาสให้เชื้อดื้อยาได้ง่าย และสามารถควบคุมเชื้อไว้ได้ตลอดเวลา
การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี มีด้วยกันหลายชนิด ออกฤทธิ์แตกต่างกันไป การเลือกใช้ยา แพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสม สำหรับผู้ป่วยแต่ละราย การรักษาที่จะให้ผลดี และช่วยลดปัญหาเชื้อดื้อยาได้ จะใช้ยา 3 ตัวรวมกัน หรือมากกว่า ที่เรียกว่า Highly Active Antiretroviral Therapy (HAART)
การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์สามารถป้องกันได้ โดยการลดพฤติกรรมเสี่ยง และการป้องกันโดยวิธีต่างๆ ที่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมความเสี่ยงนั้น ฉะนั้นการเข้าใจความแตกต่างระหว่างเอชไอวีและโรคเอดส์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อการป้องกัน, การรักษา, และการดูแลที่เหมาะสม. ความรู้นี้จะช่วยเสริมสร้างการตระหนักรู้ในสังคม เพื่อการป้องกัน และการควบคุมโรคเอดส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Komentáre