top of page
Siri Writer

ความแตกต่างระหว่างเอชไอวี และโรคเอดส์

Updated: May 20, 2024

เมื่อพูดถึงเรื่องของเชื้อเอชไอวี (HIV) และโรคเอดส์ (AIDS) ความสับสนมักเกิดขึ้นในความคิดของคนส่วนใหญ่. ถึงแม้ทั้งสองนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย, แต่มีความแตกต่างที่สำคัญที่ควรได้รับความสนใจ. บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยเพิ่มความตระหนักรู้และความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างเชื้อเอชไอวี (HIV), เชื้อเอชไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเอดส์, และโรคเอดส์ที่เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี. เพื่อการป้องกันและการดูแลตนเองที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป.


การตระหนักรู้เกี่ยวกับเชื้อเอชไอวี (HIV) เป็นการที่สำคัญ เนื่องจากเชื้อนี้ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย, ทำให้ร่างกายอ่อนแอต่อโรคต่าง ๆ. ในขณะที่ เชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) เป็นตัวกระทำที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ ส่วนโรคเอดส์ เป็นผลลัพธ์ของการติดเชื้อนี้ในระยะสุดท้าย การรับรู้ถึงความแตกต่างนี้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ทุกคนสามารถป้องกันตนเอง และดูแลสุขภาพของตนอย่างเหมาะสม. การศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เอชไอวี หรือไวรัสเอชไอวี และโรคเอดส์จะเสริมสร้างความเข้าใจและสามารถตอบสนองต่อความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม.


รูปภาพเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างเอชไอวีและโรคเอดส์ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและการรับรู้เกี่ยวกับโรคทั้งสองในมุมมองทางการแพทย์และสาธารณชน
ความแตกต่างระหว่างเอชไอวี และโรคเอดส์

เอชไอวี คืออะไร?


เอชไอวี เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Human Immunodeficiency Virus : HIV ซึ่งเป็นไวรัสเข้าทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้น เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกทำลาย ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร หรือทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่องนั่นเอง


โดยปกติระบบภูมิคุ้มกันของเราสามารถกำจัดไวรัสจำนวนมากในร่างกายของเราได้อย่างสมบูรณ์ แต่นั่นไม่ใช่กรณีของการติดเชื้อเอชไอวี อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีนั้นสามารถควบคุมเชื้อเอชไอวีได้สำเร็จโดยการขัดขวางวงจรชีวิตของไวรัส เพื่อไม่ให้พัฒนาเปลี่ยนเป็นโรคเอดส์ได้


โรคเอดส์ คืออะไร?


โรคเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome - AIDS) คือ กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรืออาการของการติดเชื้อโรคแทรกซ้อน โดยผู้ที่ได้รับเชื้อเอชไอวี ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ในขณะที่เชื้อเอชไอวี เข้าทำลายระบบภูมิคุ้มครองของร่างกาย จนภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายลดต่ำลง ทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับการติดเชื้ออื่น ๆ ได้อย่างปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุที่นำไปสู่อาการของโรคเอดส์หรือเอชไอวีระยะที่ 3 ซึ่งในระยะนี้ยังทำให้เกิดการติดเชื้อฉวยโอกาส ได้แก่ วัณโรค ปอดบวม และอื่นๆ


หากผู้ติดเชื้อเอชไอวี ได้ปฏิบัติตามการรักษาด้วยยาต้านไวรัส จากแพทย์อย่างเหมาะสม ก็สามารถป้องกันไม่ทำให้เกิดโรคเอดส์ หรือเอชไอวีระยะที่ 3 ได้


รูปภาพเกี่ยวกับอาการของโรคเอดส์ เพื่อให้ความเข้าใจเกี่ยวกับสัญญาณและอาการที่เป็นไปได้ในผู้ที่ติดเชื้อโรคเอดส์
อาการของโรคเอดส์

อาการของโรคเอดส์


เมื่อภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายลดต่ำลง และการลดลงของเซลล์ CD4 ทำให้เกิดอาการของโรคเอดส์ ดังนี้

  • โรคท้องร่วงที่กินเวลานานกว่าหนึ่งสัปดาห์

  • ไอแห้ง

  • การสูญเสียความทรงจำ ภาวะซึมเศร้า และความผิดปกติทางระบบประสาท

  • โรคปอดอักเสบ

  • เหนื่อยล้าอย่างลึกซึ้งโดยอธิบายไม่ได้

  • น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว

  • มีไข้ซ้ำ หรือเหงื่อออกมากตอนกลางคืน

  • มีจุดสีแดง สีน้ำตาล สีชมพู หรือสีม่วงบนหรือใต้ผิวหนัง หรือภายในปาก จมูก หรือเปลือกตา

  • ต่อมน้ำเหลืองบวมบริเวณรักแร้ ขาหนีบ หรือคอ

  • จุดขาวหรือรอยตำหนิผิดปกติบนลิ้น ในปาก หรือในลำคอ


การวินิจฉัยโรคเอดส์


การวินิจฉัยโรคเอดส์ นั้นมีความซับซ้อนมากขึ้น เพราะโรคเอดส์ เป็นการติดเชื้อเอชไอวีระยะสุดท้าย แพทย์จะทำการมองหาปัจจัยบางประการเพื่อพิจารณาว่า HIV latency ได้พัฒนาไปสู่ระยะที่ 3 หรือไม่ และอาจตรวจเพิ่มเติมว่าผู้ป่วยมีโรค หรืออาการแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายอย่างอื่นอีกหรือไม่


โดยจะมีการซักประวัติทางการแพทย์ ตรวจร่างกาย และอาจต้องมีการทดสอบอื่นๆ อีกดังนี้

  • การนับเม็ดเลือดที่สมบูรณ์

  • โปรไฟล์เคมีในเลือด

  • การทดสอบไวรัสตับอักเสบบีและซี

  • การตรวจเลือดเพื่อวัดเซลล์ CD4 เนื่องจากไวรัสใช้เซลล์เหล่านี้เพื่อคัดลอกตัวเองฆ่าเซลล์ CD4 ในกระบวนการ จำนวน CD4 เซลล์ที่ต่ำจึงเป็นตัวบ่งชี้ความก้าวหน้าของโรค

  • การตรวจเลือดเพื่อวัดปริมาณไวรัสหรือปริมาณเอชไอวีในตัวอย่างเลือด ผู้ที่มีปริมาณไวรัสสูงมักจะพัฒนาโรคเอดส์ได้เร็วกว่าผู้ที่มีปริมาณไวรัสต่ำ

  • การตรวจคัดกรองซิฟิลิส

  • การทดสอบผิวหนังวัณโรค

  • การทดสอบแอนติบอดีของทอกโซพลาสมา


รูปภาพเกี่ยวกับวิธีการรักษาโรคเอดส์ เน้นความสำคัญของการรับรู้และการดูแลสุขภาพในกระบวนการรักษาโรคเอดส์
การรักษาโรคเอดส์

การรักษาโรคเอดส์


เป้าหมายหลักของการรักษาด้วยยาต้านไวรัส คือ ลดการเพิ่มจำนวนเอชไอวีให้มากที่สุด เป้าหมายรอง คือ เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันฟื้นตัว และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อและมะเร็งต่างๆ ที่เกิดจากผู้ป่วยโรคเอดส์ ซึ่งเป็นการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี ซึ่งยาต้านไวรัสเอชไอวี มีคุณสมบัติในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อเอชไอวีในกระแสเลือด เมื่อจำนวนเชื้อลดลง ร่างกายก็สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยส่วนมากสามารถทำงานและดำรงชีวิตตามปกติได้ และลดการเสียชีวิตจากโรคฉวยโอกาส


การกินยาต้านไวรัส้เอชไอวีนั้น ต้องกินให้ถูกต้อง ตรงเวลา และต่อเนื่องตลอดชีวิต เนื่องจากยาไม่สามารถกำจัดเชื้อเอชไอวีให้หมดไปจากร่างกายได้ ยาจะช่วยควบคุมจำนวนเชื้อให้มีน้อยที่สุด การกินยาตรงเวลา และต่อเนื่อง เพื่อไม่เปิดโอกาสให้เชื้อดื้อยาได้ง่าย และสามารถควบคุมเชื้อไว้ได้ตลอดเวลา


การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี มีด้วยกันหลายชนิด ออกฤทธิ์แตกต่างกันไป การเลือกใช้ยา แพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสม สำหรับผู้ป่วยแต่ละราย การรักษาที่จะให้ผลดี และช่วยลดปัญหาเชื้อดื้อยาได้ จะใช้ยา 3 ตัวรวมกัน หรือมากกว่า ที่เรียกว่า Highly Active Antiretroviral Therapy (HAART)


การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์สามารถป้องกันได้ โดยการลดพฤติกรรมเสี่ยง และการป้องกันโดยวิธีต่างๆ ที่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมความเสี่ยงนั้น ฉะนั้นการเข้าใจความแตกต่างระหว่างเอชไอวีและโรคเอดส์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อการป้องกัน, การรักษา, และการดูแลที่เหมาะสม. ความรู้นี้จะช่วยเสริมสร้างการตระหนักรู้ในสังคม เพื่อการป้องกัน และการควบคุมโรคเอดส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


Komentáre


bottom of page