top of page
Siri Writer

โรคเริม มากกว่าแผลพุพอง ผลกระทบระยะยาวที่น่ากลัว

Updated: Aug 3, 2024

โรคเริม เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus HSV) ซึ่งมีสองชนิดหลักคือ HSV-1 และ HSV-2 โรคเริมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยในทุกกลุ่มอายุ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น และผู้ใหญ่ที่มีการมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง

โรคเริม: มากกว่าแผลพุพอง ผลกระทบระยะยาวที่น่ากลัว
โรคเริม มากกว่าแผลพุพอง ผลกระทบระยะยาวที่น่ากลัว

อาการ และการวินิจฉัยโรคเริม

โรคเริมมีลักษณะอาการที่ชัดเจน เช่น มีแผลพุพองหรือตุ่มน้ำใสๆ ปรากฏขึ้นบริเวณปาก ริมฝีปาก หรืออวัยวะเพศ อาการปวด เจ็บ หรือแสบ และบางครั้งอาจมีไข้ร่วมด้วย การวินิจฉัยโรคเริมสามารถทำได้โดยการตรวจจากอาการภายนอก หรือการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสในห้องปฏิบัติการ


ผลกระทบระยะยาวที่น่ากลัว

  • การแพร่กระจายไวรัส โรคเริมสามารถแพร่กระจายไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ เช่น ปาก ตา หรือระบบประสาท ทำให้เกิดการอักเสบ และติดเชื้อที่รุนแรงได้

    • โรคเริมในตา หากไวรัสเริมแพร่กระจายไปยังตา อาจทำให้เกิดการอักเสบของกระจกตา และมีโอกาสสูญเสียการมองเห็นได้

    • โรคเริมในระบบประสาท การติดเชื้อไวรัสเริมในระบบประสาทอาจทำให้เกิดโรคไข้สมองอักเสบ ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำงานของสมอง และระบบประสาท

  • การกลับมาเป็นซ้ำ โรคเริมเป็นโรคที่มีลักษณะการกลับมาเป็นซ้ำได้บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือมีภาวะเครียด ทำให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต

    • การกลับมาเป็นซ้ำบ่อยครั้ง อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายใจ เครียด หรือวิตกกังวลเกี่ยวกับการกลับมาเป็นโรคเริมบ่อยๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต และการดำเนินชีวิตประจำวัน

  • ผลกระทบต่อสุขภาพจิต ผู้ป่วยโรคเริมอาจรู้สึกเครียด วิตกกังวล หรือซึมเศร้า เนื่องจากอาการที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และการเป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ส่วนตัว

    • ความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง การมีแผลพุพองหรือการกลับมาเป็นซ้ำของโรคเริม อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง และส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างคู่ครอง

    • การรับรู้จากสังคม การเป็นโรคเริมอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกโดดเดี่ยว หรือถูกตัดสินจากสังคม ทำให้รู้สึกเครียด และมีภาวะซึมเศร้า

วิธีการรักษาโรคเริมโดยใช้ยาต้านไวรัสและการดูแลตนเอง
การรักษาโรคเริม

การรักษาโรคเริม

การรักษาทางการแพทย์ ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคเริม ที่สามารถกำจัดไวรัสออกจากร่างกายได้ แต่สามารถใช้ยาต้านไวรัสเช่น Acyclovir, Valacyclovir หรือ Famciclovir เพื่อลดอาการ และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

  • การใช้ยาต้านไวรัส การใช้ยาต้านไวรัสเป็นวิธีการรักษาที่สามารถลดอาการ และระยะเวลาการเป็นโรคได้ แต่ต้องใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

  • การรักษาเฉพาะที่ ในบางกรณีสามารถใช้ยาทาภายนอกเพื่อลดอาการเจ็บ หรือแสบบริเวณแผลพุพอง


การดูแลตนเอง ผู้ป่วยควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงความเครียด และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

  • การดูแลสุขภาพโดยรวม การรักษาระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงโดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ

  • การลดความเครียด การจัดการความเครียดด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย


การป้องกันโรคเริม

การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ การหลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลเริมหรือของเหลวจากร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อ และการรักษาความสะอาดส่วนบุคคล

  • การใช้ถุงยางอนามัย การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอสามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสเริมได้

  • การให้ความรู้ การให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคเริมแก่ประชาชนและการส่งเสริมพฤติกรรมที่ปลอดภัย


การให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเริมและการป้องกันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น และผู้ใหญ่ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง การให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัย การตรวจสุขภาพประจำปี และการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการรักษา และการป้องกัน จะช่วยลดการแพร่กระจายของโรคเริมในสังคม


โรคเริมเป็นโรคที่มากกว่าแผลพุพองที่เราเห็น แต่ยังมีผลกระทบระยะยาวที่น่ากลัว หากปล่อยไว้ไม่รักษาหรือรักษาไม่ถูกวิธี การดูแลรักษา และป้องกันอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการรักษาสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ป่วยโรคเริม และคนรอบข้าง

Kommentarer


bottom of page