โรคเริมที่อวัยวะเพศ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อย นอกจากโรคเริมที่ปากซึ่งเจอได้บ่อย ๆ แล้ว ยังมีโรคเริมที่อวัยวะเพศ ที่สามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย มักพบในวัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีกิจกรรมทางเพศเป็นประจำ เพราะเชื้อไวรัสเริมมักแพร่กระจายโดยการสัมผัสทางผิวหนังระหว่างมีเพศสัมพันธ์ โดยผู้ติดเชื้อไวรัสอาจมีอาการเล็กน้อยมากหรือไม่แสดงอาการเลย แต่ก็ยังสามารถแพร่เชื้อไวรัสไปยังคนอื่นได้ ฉะนั้นเราควรที่จะรู้จักโรคเริมที่อวัยวะเพศ ว่าเกิดจากอะไร ถ้าเป็นแล้วต้องรักษาอย่างไร ไม่ให้เกิดกลับมาเป็นโรคซ้ำอีก จนถึงช่วยลดระดับความรุนแรงควบคุมการลุกลามของโรคเริม และวิธีการป้องกันโรคเริมที่อวัยวะเพศที่ถูกต้อง
โรคเริมที่อวัยวะเพศ คืออะไร?
โรคเริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ชนิดที่สามารถส่งผลต่ออวัยวะเพศได้ โดยเชื้อไวรัสสามารถแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อ โรคเริมที่อวัยวะเพศอาจมีอาการเจ็บ คัน เกิดบาดแผลหรือตุ่มพองบริเวณอวัยวะเพศ และอาจมีอาการเจ็บขณะปัสสาวะร่วมด้วย
โดยเพศหญิงจะมีความเสี่ยงต่อโรคมากกว่าเพศชาย ในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ บางรายอาจกลับมาเป็นซ้ำได้อีกครั้งเมื่อร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วย หรือในช่วงที่มีประจำเดือน เพราะเชื้อไวรัสนี้จะคงอยู่ในร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อไปตลอด ถึงแม้จะไม่มีอาการใดๆ เกิดขึ้นเลยก็ตาม โดยอาการที่ปรากฏในระยะหลังๆ นี้ จะมีความรุนแรงน้อยกว่า และหายเร็วกว่าที่เคยแสดงอาการในครั้งแรก และความถี่ของการแสดงอาการของโรคจะน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปหลายๆปี
สาเหตุโรคเริมที่อวัยวะเพศ
สาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus: HSV) ที่สามารถติดต่อผ่านทางผิวหนังและทางเพศสัมพันธ์ โดยไวรัสชนิดนี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ HSV-1 เป็นไวรัสที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคเริมที่ปาก และ HSV-2 เป็นไวรัสที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคเริมที่อวัยวะเพศ ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้ง่ายถึงแม้จะไม่มีบาดแผลเปิด
ไวรัส HSV สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนัง และฝังตัวอยู่ภายในเส้นประสาทบริเวณเชิงกราน โดยอาการของโรคจะปรากฏขึ้นเมื่อเชื้อไวรัสเคลื่อนตามเส้นประสาทออกมายังผิวหนัง นอกจากนี้ ไวรัสทั้งสองชนิดยังพบได้ในสารคัดหลั่ง อย่างน้ำลาย อสุจิ หรือตกขาว
ระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการ) : ประมาณ 3 – 14 วัน
ใครที่มีความเสี่ยงติดโรคเริมที่อวัยวะเพศ
ผู้ที่ติดเชื้ออาจแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ทั้งที่ไม่มีอาการใด ๆ ดังนั้นโอกาสเสี่ยงที่จะได้รับ และติดเชื้อโรคจึงสูงขึ้นตาม ดังนี้
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยผ่านการสอดใส่ระหว่างอวัยวะเพศชาย-หญิง การมีเพศสัมพันธ์ทางประตูหลังหรือทางทวารหนัก หรือการสัมผัสถูไถระหว่างอวัยวะเพศหญิง-หญิง
ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
ผู้ที่มีทำออรัลเซ็กส์ หรือได้รับการทำออรัลเซ็กส์จากผู้ที่ติดเชื้อโรคเริมที่อวัยวะเพศ
ผู้ที่สัมผัสผิวหนัง หรือสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อ เช่น น้ำลาย อสุจิ น้ำเหลือง
ผู้ที่สัมผัสแบบแนบชิด เนื้อแนบเนื้อ แม้ปราศจากการหลั่ง
ผู้ที่สัมผัสกับแผลติดเชื้อ หรือตุ่มน้ำพอง รวมถึงคุณแม่ติดเชื้อที่ให้นมบุตร
การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกผ่านการคลอดบุตร โดยคุณแม่ที่ติดเชื้อขณะตั้งครรภ์
ผู้ที่ใช้เซ็กส์ทอย (Sex toy) ร่วมกันกับผู้ที่ติดเชื้อ
อาการโรคเริมที่อวัยวะเพศ
อาการเริ่มต้นด้วยอาการคันยุบยิบบริเวณที่ติดเชื้อไวรัส HSV จากนั้นจะเกิดตุ่มน้ำพองใส อักเสบ และเจ็บแสบบนฐานของผื่นบวมแดงที่รวมกลุ่มกันบนผิวหนัง โดยมีอาการประมาณ 2-3 วันจนถึง 1-2 สัปดาห์
ในเพศชาย จะปรากฏอาการของโรคบริเวณอวัยวะเพศ ถุงอัณฑะ สะโพก ต้นขาต้านใน ก้น และทวารหนัก
ในเพศหญิง จะปรากฏอาการของโรคบริเวณอวัยวะเพศ ช่องคลอด สะโพก ต้นขาต้านใน ก้น และทวารหนัก
โรคเริมที่อวัยวะเพศสามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ผ่านการสัมผัส จากนั้นตุ่มน้ำพองใสจะแตกออก มีเลือดไหลซึม แล้วจึงตกสะเก็ดเมื่อแผลสมานตัว เริมเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ อาจมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ และมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก โดยหลังจากที่อาการของโรคหายไปแล้ว เชื้อไวรัส HSV จะยังคงฝังตัว หลบซ่อนอยู่บริเวณปมประสาท (Ganglion) ของร่างกายโดยไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาตราบจนภูมิคุ้มกันของร่างกายลดต่ำ อาการของโรคเริมจึงจะเริ่มปรากฎให้เห็นขึ้นอีกครั้ง โดยอาการของโรคเริม มีดังนี้
มีตุ่มน้ำพองใส หรือแผลพุพองเล็ก ๆ ที่ขึ้นบริเวณรอบ ๆ อวัยวะเพศ
เกิดรอยแตก หรือรอยแดงบริเวณรอบ ๆ อวัยวะเพศ แต่ไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บหรือคัน
มีอาการคันระคายเคือง เจ็บแสบที่อวัยวะเพศ หรือรอบ ๆ ทวารหนัก
มีอาการเจ็บแสบที่อวัยวะเพศขณะมีเพศสัมพันธ์ (dyspareunia)
มีอาการเหมือนมีหนามแหลมเล็ก ๆ ทิ่มตำ อาการแสบคับหรือแสบร้อน
มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อาจมีอาการต่อมน้ำเหลืองโต หรือบวม และอ่อนเพลีย เป็นต้น
มีอาการปวดแสบขณะปัสสาวะ โดยเฉพาะในเพศหญิง เนื่องจากมีแผลบริเวณอวัยวะเพศ
มีอาการตกขาว (ในเพศหญิง) มีกลิ่นคาว
อวัยวะเพศบวมแดง
ระยะเวลาในการแสดงอาการจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระบบภูมิคุ้มกันของแต่ละคน โดยอาการอาจปรากฏทันทีหลังได้รับเชื้อหรือปรากฏหลังจากการรับเชื้อมาแล้วนานหลายเดือนหรือเป็นปี ในกรณีที่ผู้ป่วยแสดงอาการทันทีหลังการติดเชื้อ อาการที่เกิดขึ้นอาจมีความรุนแรงมาก โดยมีปัจจัยมากระตุ้น เช่น เครียด ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ พักผ่อนน้อย
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเริมที่อวัยวะเพศ
คือการแพร่เชื้อลุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ เช่น
เสี่ยงติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น
ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อเอชไอวี เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า
อาจส่งผลให้เกิดการอักเสบบริเวณท่อปัสสาวะ ซึ่งอาการบวมที่เกิดขึ้นอาจขัดขวางช่องทางปัสสาวะ ทำให้ผู้ป่วยต้องใช้ท่อสวนเพื่อระบายปัสสาวะ
การอักเสบบริเวณทวารหนัก เนื่องจากผู้ป่วยอาจติดเชื้อเริมที่ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย มักพบในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เนื่องจากเชื้อไวรัสอาจก่อให้เกิดการอักเสบบริเวณเยื่อบุผิวและน้ำไขสันหลัง ซึ่งอยู่ล้อมรอบสมองและไขสันหลัง
อาจเกิดบาดแผลบริเวณอื่นในช่วงเวลาที่มีการติดเชื้อ เช่น สะโพก ขาหนีบ ต้นขา นิ้ว หรือตา เป็นต้น
หากเกิดในระหว่างการคลอด หรือการตั้งครรภ์อาจส่งผลให้เด็กติดเชื้อและส่งผลถึงสมองของทารก อาจทำให้ทารกตาบอดหรือถึงขั้นเสียชีวิต
การกลับมาเป็นโรคเริมที่อวัยวะเพศซ้ำ เกิดจากอะไร?
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดจากโรคเริม และยังสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ภายใน 7 วัน หลังจากการเป็นครั้งแรก เพราะเชื้อไวรัสเริมยังคงฝังอยู่ในปมประสาทและมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำอีกได้ แต่ยังมียาที่ช่วยลดระดับความรุนแรง และควบคุมการลุกลามของเชื้อโรคเริมได้ โดยปัจจัยที่สามารถกระตุ้นให้เป็นโรคเริมซ้ำ ได้แก่
ภูมิคุ้มกันร่างกายลดต่ำลง
การเจ็บป่วยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยเล็กน้อย หรือการเจ็บป่วยรุนแรง
การติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ ซ้ำ หรือมีไข้สูง
ความเหนื่อยล้าทางร่างกาย ควรหลีกเลี่ยงการหักโหมมากจนเกินไป
พักผ่อนไม่เพียงพอ
การบาดเจ็บ หรือมีการผ่าตัดที่กระทบต่อเส้นประสาท
การใช้ยาหรือการรักษาที่มีการกดภูมิคุ้มกัน เช่น การทำเคมีบำบัด การใช้ยาสเตียรอยด์
การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน ระหว่างมีประจำเดือน
อากาศร้อน การอยู่ท่ามกลางแสงแดด
การขาดสารอาหาร
สภาวะอารมณ์ ความเครียด ความวิตกกังวล ฯลฯ
การวินิจฉัยโรคเริมที่อวัยวะเพศ
โดยทั่วไป แพทย์จะวินิจฉัยโรคเริมที่อวัยวะเพศ ได้จากการตรวจร่างกาย ด้วยการตรวจสอบแผล หรือดูลักษณะของตุ่มน้ำใสบริเวณอวัยวะเพศ หลังจากนั้นแพทย์จะทำการทดสอบทางแล็บปฏิบัติการเพิ่มเติม ดังนี้
การทดสอบ Polymerase Chain Reaction หรือ PCR Test เป็นการคัดลอกดีเอ็นเอ (DNA) ของผู้ป่วยจากตัวอย่างเลือด เนื้อเยื่อบริเวณที่มีบาดแผล ทางเดินปัสสาวะ หรือน้ำไขสันหลัง ทำให้สามารถตรวจพบเชื้อไวรัส HSV และระบุชนิดของไวรัสได้อย่างชัดเจน แพทย์จึงมักใช้วิธีนี้ในการวินิจฉัยโรคเริมที่อวัยวะเพศ เนื่องจากมีความแม่นยำสูง และสามารถระบุชนิดของเชื้อไวรัส HSV ได้อย่างชัดเจน
การเพาะเชื้อ แพทย์จะนำตัวอย่างเนื้อเยื่อ หรือขูดบาดแผลเพื่อนำตรวจหาเชื้อไวรัส HSV อย่างละเอียดด้วยกล้องจุลทรรศน์ในห้องทดลอง
การตรวจเลือด จะเก็บตัวอย่างเลือด เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส HSV และภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสในร่างกายของผู้ป่วย
การรักษาโรคเริมที่อวัยวะเพศ
ในปัจจุบันโรคเริมที่อวัยวะเพศยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุม และบรรเทาอาการได้โดยการใช้ยาต้านไวรัส ซึ่งจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นในผู้ที่เพิ่งมีอาการ บรรเทาความรุนแรง ลดระยะเวลา และความถี่ของการกลับมาเกิดโรคซ้ำ อีกทั้งลดโอกาสการแพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่น ซึ่งแพทย์ใช้ยารักษาโรคเริม ดังนี้
ยาสำหรับรับประทาน
ยาต้านไวรัส HSV ได้แก่ ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ยาแฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir) ยาวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir)
ยาระงับความเจ็บปวดชนิดรับประทาน เช่น ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ยาไอบูโปรเฟน (Ibuprofen)
ยาต้านการอักเสบกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs)
แนะนำให้ทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากมีอาการ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคเริม
ยาทาภายนอก
ยาแก้ปวดชนิดที่ทาลงบนแผลเริมชนิดที่เป็นเนื้อครีม หรือขี้ผึ้ง เช่น ยาเบนโซเคน (Benzocaine) ยาไลซีน (L-lysine) ยาโดโคซานอล (Docosanal)
อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) เพนซิโคลเวียร์ (Penciclovir) อาจช่วยลดอาการปวด ทำให้ผื่นแห้งเร็วขึ้น รวมถึงอาจช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส
ใช้น้ำเกลือล้างแผล เช็ดทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศรอบนอก เพื่อฆ่าเชื้อโรค แล้วเช็ดให้แห้ง
อาจใช้วิธีการอาบน้ำอุ่น แช่น้ำอุ่น หรือสวมเสื้อผ้าหลวมๆ เพื่อบรรเทาอาการปวด
ทั้งนี้ ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ควรแจ้งให้คุณหมอทราบว่าเป็นโรคเริมที่อวัยวะเพศ คุณหมอจะได้แนะนำวิธีคลอดที่ช่วยลดความเสี่ยงที่ทารกจะติดเชื้อเริมจากแม่ในระหว่างคลอด เช่น การผ่าคลอด
การป้องกันโรคเริมที่อวัยวะเพศ
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ป้องกันโรคเริม แต่อาจลดความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อและการแพร่เชื้อไวรัสต้นเหตุของเริมที่อวัยวะเพศได้ด้วยวิธีต่าง ๆ
สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะถุงยางอนามัยสำหรับสตรี ซึ่งพบว่าสามารถป้องกันได้มากกว่าถุงยางอนามัยสำหรับบุรุษ แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันการติดต่อได้ทั้งหมด
การใช้ยาต้านไวรัส ช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคได้บ้าง
การใช้หลายวิธีร่วมกันคือ ใช้ทั้งถุงยางอนามัย และยาต้านไวรัส พบว่า สามารถป้องกันกระจายได้มากกว่าการใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเดี่ยวๆ
หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล น้ำลาย หรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วย
งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลจะหายสนิท (ระยะแพร่เชื้อคือ ตั้งแต่มีอาการนำจนถึงแผลตกสะเก็ด)
สำหรับผู้ที่เคยเป็นโรคเริมแล้ว ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดโรคซ้ำ
หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะหรือสิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะแก้วน้ำ ช้อนส้อม
ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ และตรวจสุขภาพเป็นประจำ
ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ
แบ่งเวลาให้มีการพักผ่อนที่เพียงพอ
หาวิธีการจัดการความเครียด ความวิตกกังวล ให้เหมาะสม
รักษาสุขอนามัยเป็นประจำ เช่น การล้างมือให้สะอาด
หากเป็นโรคเริมซ้ำบ่อย มากกว่า 6 ครั้งต่อปี หรือมีอาการรุนแรง หรือการเป็นซ้ำส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณารับประทานยาต้านไวรัสทุกวัน เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
โรคเริม แม้จะเป็นโรคที่ไม่รุนแรง แต่ก็อาจสร้างความรำคาญใจแก่ผู้ที่เป็น เพราะโรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาด และมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ จึงควรรักษาสุขอนามัยเป็นประจำ ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ หากเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้น ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบเข้าพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาทันที และควรตรวจสุขภาพเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อควบคุม และลดผลกระทบที่เกิดขึ้นในระบบสุขภาพของบุคคลและสังคมทั้งหมด
Comments