โรคหูดหงอนไก่ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่พบได้ทั้งในเพศชาย และเพศหญิง เกิดขึ้นจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดที่ทำให้เกิดหูด หรือติ่งเนื้อขรุขระคล้ายหงอนไก่ขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศ, ขาหนีบ, หรือทวารหนัก ทำให้รู้สึกคัน ซึ่งสามารถป้องกันในเบื้องต้นได้โดยการสวมถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง และการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัส เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรค และลดความรุนแรงของอาการในกรณีที่ติดเชื้อการมีความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคนี้จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพของตนเอง และคนรอบข้างได้อย่างเหมาะสม
โรคหูดหงอนไก่ คืออะไร?
โรคหูดหงอนไก่ หรือโรคหูดอวัยวะเพศ (condylomata acuminata ,genital warts) เป็นโรคที่มีลักษณะเเป็นติ่งเนื้อลักษณะขรุขระคล้ายหงอนไก่ขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ได้แก่ ใต้หนังหุ้มปลาย รูเปิดท่อปัสสาวะ เส้นสองสลึง ขาหนีบ หรือทวารหนัก ฯลฯ มีขนาดเล็กมากจนแทบมองไม่เห็นไปจนถึงขนาดใหญ่ ทำรู้สึกคัน แสบร้อน หรือมีตกขาว จนเกิดการระคายเคืองขณะสัมผัสส่วนสาเหตุของโรคเกิดจากร่างกายได้รับเชื้อไวรัส ผ่านการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน แม้ว่าที่ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ หลายคนจะไม่มีอาการใด ๆ และหายไปเองตามธรรมชาติ แม้ว่าจะเป็นโรคที่หายได้เองแต่ก็สามารถเกิดซ้ำได้มากถึงร้อยละ 30-70 หลังจากรักษาหายแล้วในรอบแรก ทั้งนี้อาจเกิดจากการมีพฤติกรรมเสี่ยง หรือแม้แต่ประสิทธิภาพของยาที่ใช้รักษาครั้งก่อนไม่ดีเท่าที่ควร
สาเหตุโรคหูดหงอนไก่
สาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (Human papilloma virus: HPV) ที่มีจำนวนกว่า 40 สายพันธุ์ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับผิวหนังหรือเยื่อบุผนังภายในของผู้ที่เป็นโรคนี้ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ หรือจากแม่สู่ลูกผ่านการคลอดแบบธรรมชาติ การติดเชื้อทำให้เนื้อเยื่อเสียหาย และเกิดรอยโรคซึ่งเป็นลักษณะของความผิดปกติที่แสดงออกทางผิวหนัง โดยไวรัสเอชพีวี สายพันธุ์ที่ 6 และสายพันธุ์ที่ 11 เป็นสายพันธุ์หลักที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหูดหงอนไก่ ที่บริเวณผิวหนัง และเยื่อบุผิวภายในร่างกาย โดยธรรมชาติ เชื้อไวรัสเอชพีวี ชนิดที่ก่อให้เกิดโรคหูดหงอนไก่ ไม่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง เว้นแต่มีการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี สายพันธุ์ความเสี่ยงสูงร่วมด้วย ที่อาจนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก หรือโรคมะเร็งทวารหนักได้ ระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการ) : ประมาณ 3-4 เดือนหลังได้รับเชื้อ แต่บางรายอาจแสดงอาการประมาณ 1 เดือน ถึง 2 ปี โดยผู้ที่สัมผัสเชื้อนี้อาจจะไม่ติดโรคทุกราย เพราะขึ้นอยู่กับภาวะภูมิคุ้มกันและจำนวนเชื้อที่ได้รับ
ใครที่มีความเสี่ยงติดโรคหูดหงอนไก่
การมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด หรือทางทวารหนัก และยังสามารถติดต่อได้โดยไม่ต้องมีการสอดใส่ แต่พบได้น้อย
การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ
การสัมผัสกับอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่มีเชื้อไวรัสเอชพีวี เช่น ปาก มือ นิ้วมือ นิ้วเท้า
การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ลิปสติก ผ้าเช็ดตัว สบู่ มีดโกน หรือ อุปกรณ์ของเล่นสำหรับมีเพศสัมพันธ์ (Sex toy)
การทำออรัลเซ็กส์ (Oral sex) หรือการรับการทำออรัลเซ็กส์ จากผู้ที่มีเชื้อไวรัสเอชพีวี ที่อวัยวะเพศ ปาก ริมฝีปาก หรือลิ้น
การสัมผัสแบบแนบชิด เนื้อแนบเนื้อ หรือแม้แต่การมีเพศสัมพันธ์โดยปราศจากการหลั่ง
ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ติดเชื้อเอชไอวี เป็นเบาหวานที่ควบคุมไม่ดี หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน หูดมักมีขนาดใหญ่ ดื้อต่อการรักษา มีอัตราการกลับเป็นซ้ำสูง และมีโอกาสเกิดเป็นรอยโรคมะเร็งมากขึ้น
เป็น หรือเคยเป็นโเริมมาก่อน
จากแม่ที่เป็นโรคหูดหงอนไก่ สู่ลูกผ่านการคลอดด้วยวิธีธรรมชาติ
การสูบบุหรี่ เพิ่มความเสี่ยงตามจำนวนบุหรี่ที่สูบต่อปี
อาการโรคหูดหงอนไก่
อาการของหูดหงอนไก่ที่สามารถเห็นได้ชัดเจนที่สุด ก็คือ เกิดติ่งเนื้อที่มีลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ หรือที่ทวารหนัก ขนาดของหูดหงอนไก่อาจเล็กจนไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า หรืออาจใหญ่จนทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้ โดยหูดหงอนไก่ เป็นตุ่มหรือแผ่นนูน นิ่มๆ คล้ายดอกกะหล่ำ สีชมพูหรือสีเดียวกับผิวหนัง ยื่นออกมาบริเวณอวัยวะเพศและบริเวณใกล้เคียง
ลักษณะเฉพาะโรคหูดหงอนไก่ มีดังนี้
ติ่งเนื้อผิวเรียบ หรือผิวขรุขระนูนยื่นออกจากผิวหนังเป็นหยัก ๆ หรือเป็นตะปุ่มตะป่ำ
ตุ่มเนื้อ ติ่งเนื้อ หรือก้อนเนื้อขนาดเล็ก หรือขนาดใหญ่ไม่เท่ากัน
ตุ่มเนื้อ ติ่งเนื้อ หรือก้อนเนื้อสีขาว สีเนื้อ สีชมพู หรือสีแดง
ตุ่มเนื้อ ติ่งเนื้อ หรือก้อนเนื้อตุ่มเดียว หรือหลาย ๆ ตุ่มขึ้นเป็นกระจุกรวมกัน
มีอาการคัน แสบร้อน รู้สึกไม่สบายตัวอย่างมากหรือเจ็บบริเวณที่เป็นหูดหงอนไก่
มีเลือดออกที่ติ่งเนื้อ หรือไหลออกทางช่องคลอด โดยเฉพาะขณะมีเพศสัมพันธ์
บริเวณที่มักพบโรคหูดหงอนไก่ มีดังนี้
เยื่อบุผิวหนังอวัยวะเพศชาย หรืออวัยวะเพศหญิง
ใต้หนังหุ้มปลายองคชาต หนังหุ้มองคชาต หนังหุ้มอัณฑะ
บริเวณลำองคชาติที่ขลิบแล้ว
ปาก ริมฝีปาก คอหอย
ปากมดลูก ภายในช่องคลอด
ท่อปัสสาวะ
รอบทวารหนัก ฝีเย็บ รูทวารหนัก
ขาหนีบ
ลำไส้ตรง หรือลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย
รอบปากช่องคลอด ผนังช่องคลอด
แคมเล็ก หรือแคมใน (Labia minora)
แคมใหญ่ หรือแคมนอก (Labia minora)
อาการอื่น ๆ ของโรค
ส่วนใหญ่ ไม่มีอาการร่วมอื่นๆ ทั้งนี้ขึ้นกับขนาดของรอยโรค หากมีขนาดใหญ่มากอาจ
ทำให้มีอาการดังนี้
เกิดการระคายเคืองขณะสัมผัส
เจ็บปวด คัน แสบร้อนบริเวณอวัยวะเพศ
มีเลือดออกจากติ่งหงอนไก่
ฝ่ายหญิงจะมีตกขาวผิดปกติ
มีติ่ง หรือก้อนโตมากจนอุดกลั้นท่อปัสสาวะ ทวารหนัก หรือช่องคลอด
เกิดแผล และติดเชื้อบริเวณเนื้อเยื่อหูด
หากมีภาวะดังกล่าวระหว่างตั้งครรภ์ จะทำให้หูดโตเร็วขึ้น
สามารถเกิดซ้ำได้ถึงร้อยละ 30-70 ภายในเวลา 6 เดือนหลังการรักษา
หากติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่รุนแรงขณะตั้งครรภ์ ทารกอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหูดหงอนไก่
โดยทั่วไป เชื้อไวรัสเอชพีวี ที่เป็นสาเหตุของโรคหูดหงอนไก่จะไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง แต่หากมีการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี หลายสายพันธุ์รวมกัน โดยเฉพาะสายพันธุ์ชนิดความเสี่ยงสูง ก็อาจเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคหูดหงอนไก่ได้
การตกขาวที่มากผิดปกติ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งที่ปากหรือคอหอยในเพศหญิง และมะเร็งองคชาต หรือมะเร็งทวารหนักในเพศชาย
หากอาการหูดหงอนไก่ที่เกิดขึ้นไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม หรือผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ก็อาจทำให้หูดหงอนไก่กลับมาเป็นซ้ำได้ อีกทั้งผู้ป่วยโรคหูดหงอนไก่อาจมีความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในเพศหญิง เพราะธรรมชาติของการติดเชื้อไวรัสมักจะติดเชื้อพร้อมกันหลายสายพันธุ์ ทำให้อาจได้รับเชื้อไวรัสเอชพีวีที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูกได้
สำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ที่ป่วยด้วยโรคหูดหงอนไก่ หูดอาจมีขนาดใหญ่จนทำให้ผนังมดลูกขยายตัวได้ไม่เต็มที่ หรืออาจทำให้เกิดเลือดออกขณะคลอด รวมถึงอาจส่งผลให้ทารกที่เกิดมามีหูดหงอนไก่เกิดขึ้นบริเวณคอจนไปขัดขวางทางเดินหายใจ หลอดลม หรือคอหอยที่ปิดกั้นทางเดินหายใจจนทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนและเสียชีวิต และทำให้ทารกต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วนเพื่อรักษาอาการ
การวินิจฉัยโรคหูดหงอนไก่
ขั้นตอนแรก แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคหูดหงอนไก่ขั้นตอนแรก จะพิจารณาจากลักษณะเฉพาะภายนอกของโรค ร่วมกับการตรวจชิ้นเนื้อเพื่อยืนยันโรค สำหรับการวินิจฉัยหูดหงอนไก่ หรือหูดอวัยวะเพศ ที่เกิดขึ้นภายในอวัยวะ ในร่างกาย เช่น ปากมดลูก สูตินรีแพทย์จะทำการตรวจภายในเพิ่มเติมเพื่อความถูกต้อง แม่นยำในการวินิจฉัยโรค การตรวจวินิจฉัยหูดหงอนไก่มีวิธีการ ดังนี้
การตรวจภายใน (Pelvic exam) เป็นการตรวจภายในโดยสูตินรีแพทย์ เพื่อตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะในอุ้งเชิงกรานสตรีทั้งภายในและภายนอก รวมถึงอวัยวะข้างเคียง โดยเรียงจากอวัยวะภายนอกสู่อวัยวะภายใน เช่น บริเวณรอบปากช่องคลอด แคมนอก แคมใน ผนังช่องคลอด หรือปากมดลูก ทั้งนี้เพื่อความแม่นยำในการวินิจฉัย แพทย์อาจใช้วิธีการส่องกล้องตรวจปากมดลูกด้วยวิธีการตรวจคอลโปสโคป (Colposcope) หรือการส่องกล้องขยายเพื่อตรวจหาความผิดปกติบริเวณช่องคลอด เนื้อเยื่อบุผิว (Epithelium) และอวัยวะภายนอกสตรี
การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (ThinPrep Pap Test) ผู้ที่มีเลือดออกทางช่องคลอด มีหนอง หรือมีสารคัดหลั่งทางช่องคลอด สูตินรีแพทย์อาจขอให้มีการตรวจ ThinPrep Pap Test เพิ่มเติมเพื่อคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เนื่องจากอาจเป็นจากเชื้อไวรัสเอชพีวี ชนิดความเสี่ยงสูงที่อาจนำไปสู่การเกิดมะเร็งปากมดลูกได้
การตรวจหาสายพันธุ์เชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV DNA Test) เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัสเอชพีวี แบบเจาะลึกระดับ DNA เพื่อค้นหาเชื้อไวรัสเอชพีวีที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคหูดหงอนไก่ รวมถึงเชื้อไวรัสเอชพีวี ชนิดความเสี่ยงสูงที่อาจนำไปสู่การเกิดมะเร็งปากมดลูก
การตรวจทางทวารหนัก (Rectal exam) เป็นการตรวจหาความผิดปกติทั้งภายในทวารหนัก บริเวณหูรูดและผิวภายนอกทวารหนักโดยการส่องกล้องดูทวารหนัก (Anoscope)
การรักษาโรคหูดหงอนไก่
เมื่อวินิจฉัยว่าเป็นโรคหูดหงอนไก่ แพทย์จะพิจารณาแนวทางการรักษาหลายวิธีเพื่อให้ได้ผลดีในการรักษา เพื่อป้องกันไม่ให้หูดหงอนไก่ขยายใหญ่ขึ้น หรือเพิ่มจำนวนมากขึ้น รวมถึงป้องกันไม่ให้เป็นพาหนะนำโรคสู่ผู้อื่น ผู้ที่เป็นหูดหงอนไก่ที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายที่ดี อาจหายจากอาการของโรคเองโดยไม่ต้องรับการรักษา อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัสจะคงอยู่ในร่างกายตลอดไปโดยไม่แสดงอาการใด ๆ และมีโอกาสกลับมาเป็นโรคซ้ำ เมื่อภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ โดยมีวิธีดังนี้
การรักษาโดยการทายา (Topical medications) โดยแพทย์จะทำการนัดทายาที่โรงพยาบาลสัปดาห์ละครั้ง ทุกสัปดาห์ เป็นการทายาทั้งภายนอกและอวัยวะภายในที่เป็นหูด โดยยาจะออกฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันเฉพาะที่ ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์โรคหูดหงอนไก่ ทำให้เซลล์เสื่อมสภาพและหลุดออกไป เช่น ยาอิมิควิโมด 5% (5% Imiquimod) ยาโพโดฟิลอก 5% (0.5% Podofilox) หรือ สารละลายกรดไตรคลอโรอะเซติกเข้มข้น 80-90 % (80-90 % Trichloroacetic acid) ทั้งนี้เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ดี แพทย์จะขอให้ปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนทายา เพื่อป้องกันไม่ให้บริเวณที่ทายาโดนน้ำอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง
การผ่าตัดชิ้นเนื้อออก (Surgical excision) แพทย์จะพิจารณาทำการรักษาโดยการผ่าตัด โดยเฉพาะหูดหงอนไก่ที่มีขนาดใหญ่ หรือในผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา การตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจ หรือคุณแม่ที่เป็นหูดหงอนไก่ที่กำลังจะคลอดบุตร แพทย์จะพิจารณาการผ่าตัดคลอดเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก
การจี้ร้อนด้วยไฟฟ้า (Electrocautery) เป็นการรักษาด้วยการจี้หูดด้วยความร้อนสูง เพื่อกำจัดเนื้อเยื่อที่เติบโตผิดปกติ
การจี้เย็นด้วยไนโตรเจนเหลว (Liquid nitrogen cryotherapy) เพื่อยับยั้งการเติบโตของหูด ช่วยให้ผิวฟื้นตัว และให้รอยโรคหลุดไป
การรักษาด้วยเลเซอร์ (Laser treatments) โดยแพทย์จะพิจารณาการรักษาด้วยวิธีการนี้กับหูดหงอนไก่ที่มีลักษณะขึ้นเป็นวงกว้างและรักษาได้ยาก
การป้องกันโรคหูดหงอนไก่
วิธีการป้องกันที่ดีที่สุด คือ การป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ ด้วยวิธีดังนี้
สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งก่อนมีเพศสัมพันธ์ ถึงแม้ถุงยางอนามัยไม่สามารถยับยั้งการแพร่เชื้อไวรัสเอชพีวี ได้ทั้งหมด เพราะเชื้อสามารถกระจายอยู่ได้ทั่วไป บริเวณฝีเย็บ หัวหน่าว รอบทวารหนักเป็นต้น (ทั้งนี้การสวมใส่ถุงยางอนามัยช่วยลดโอกาสการติดต่อได้มากกว่าการไม่สวมใส่ นอกจากนั้นยังช่วยลดการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้แก่ เชื้อเอชไอวี หนองในแท้ หนองในเทียม และโรคเริม ได้อีกด้วย)
หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หากมีอาการของโรค เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
หลีกเลี่ยงการสัมผัสอวัยวะของผู้ที่เป็นโรคหูดหงอนไก่
หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หลีกเลี่ยงพฤติกรรมโลดโผนทางเพศ
การขลิบอวัยวะเพศชาย (Male circumcision) ช่วยลดโอกาสการสะสมของเชื้อไวรัสเอชพีวีได้ และลดการแพร่เชื้อไปยังผู้หญิง
รักษาความสะอาดของร่างกาย
รักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ
การตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ตรวจสุขภาพประจำปี หรือการตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน
การฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV vaccine)เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ทั้ง 9 สายพันธุ์ ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์ที่ 6 และ 11 ที่เป็นสาเหตุของโรคหูดหงอนไก่
การฉีดวัคซีนจะต้องฉีด 3 เข็ม และควรฉีดก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์ สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9-26 ปี
ฉีดได้ทั้งเพศชาย และเพศหญิง
ห้ามฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์
โรคหูดหงอนไก่ ไม่ใช่โรคร้ายแรง สามารถป้องกันได้โดยรับการฉีดวัคซีนป้องกัน และสามารถรักษาให้หายได้ โดยเมื่อพบอาการแสดงของโรค ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอาการ และรับการรักษาที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุกลามและแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ ผู้ที่เคยเป็นและรักษาจนหายดีแล้ว ควรรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเพื่อให้ภูมิคุ้มกันคงที่ เพียงเท่านี้ก็จะมีสุขอนามัยที่ดี และลดโอกาสการเป็นโรคซ้ำ หรือความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนได้
Comments