top of page
Siri Writer

เตือนภัย โรคไวรัสตับอักเสบซี โรคร้ายที่คุณควรระวัง

Updated: May 14, 2024

โรคไวรัสตับอักเสบซี นับว่ามีความสำคัญเป็นอันดับรองลงมาจากโรคไวรัสตับอักเสบบี เนื่องจากผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี ส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อ เนื่องจากมักไม่แสดงอาการ ทำให้เมื่อติดเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เกิดการดำเนินของโรคแบบค่อยเป็นค่อยไป หรืออาจมีอาการน้อยและอาการเหมือนโรคทั่วไป เช่น เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไข้ต่ำๆ คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง  ปัสสาวะสีเข้ม และผิวหนังหรือตาเหลือง (ดีซ่าน)เป็นต้น จึงไม่ได้สนใจ หากไม่ได้ไปพบแพทย์หรือตรวจเลือดดูค่าการทำงานของตับก็จะไม่ทราบว่าตนเองมีตับอักเสบเรื้อรัง จนโรคจะดำเนินไปจนเข้าสู่ระยะตับแข็ง 


ฉะนั้นการตรวจพบ และการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถป้องกันความเสียหายร้ายแรงของตับและปรับปรุงสุขภาพในระยะยาวได้ เพราะยังไม่มีวัคซีนสำหรับโรคตับอักเสบซี แต่สามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัส

คำเตือน! รู้จักกับโรคไวรัสตับอักเสบซี - อันตรายที่คุณควรระวัง อาการ, การป้องกัน, และวิธีรักษาโรคที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพตับของคุณ
เตือนภัย โรคไวรัสตับอักเสบซี โรคร้ายที่คุณควรระวัง

ไวรัสตับอักเสบซี คืออะไร?

ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C หรือ HCV) คือ โรคที่ตับเกิดการอักเสบ และเสียหายจากการติดเชื้อไวรัสไวรัสตับอักเสบซี สามารถติดต่อกันทางเลือด หรือเพศสัมพันธ์ คล้ายกับไวรัสตับอักเสบบี แต่ไม่สามารถติดต่อกันได้ทางการให้นมบุตร การสัมผัส การกอด การจูบ การจาม หรือไอรดกัน การรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำด้วยกัน และการใช้ถ้วยชามร่วมกัน


โดยผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการแสดงชัดเจนในช่วงแรก แต่สามารถนำไปสู่การเกิดอาการที่รุนแรงต่อตับได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ติดเชื้อแบบเรื้อรังมีโอกาสสูงที่จะเกิดโรคตับอย่างรุนแรง หรือโรคมะเร็งตับตามมา โดยการรักษาอาจช่วยกำจัดเชื้อไวรัสให้หายขาดอย่างถาวร หรือช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการและดำรงชีวิตได้อย่างเป็นปกติได้


สาเหตุโรคไวรัสตับอักเสบซี

สาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus) เมื่อเชื้อไวรัสตับอักเสบซี เมื่อเข้าไปในร่างกายจะแบ่งตัว และอาศัยอยู่ในตับ ระยะแรกทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งมักจะมีอาการไม่มาก ทำให้ผู้รับเชื้อไม่ทราบว่ามีตับอักเสบ โดยประมาณเกือบ 8% ของผู้ที่ได้รับเชื้อจะมีการติดเชื้อเรื้อรัง และตามมาด้วยตับอักเสบแบบเรื้อรังแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ค่อยมีอาการชัดเจน ผ่านไปประมาณ 10-30 ปีจึงเข้าสู่ระยะตับแข็ง เมื่อมีโรคตับแข็งเกิดขึ้นจะมีโอกาสเกิดมะเร็งตับได้


ไวรัสตับอักเสบซี เป็นเชื้อไวรัสชนิดอาร์เอ็นเอ (RNA) ประกอบด้วย 6 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ที่ 1 ถึง 6 โดยการแบ่งสายพันธุ์ไม่เกี่ยวกับความรุนแรงแต่เกี่ยวกับการรักษา ซึ่งสายพันธุ์ 2 และ 3 เป็นสายพันธุ์ที่พบบ่อย ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการตรวจว่าไวรัสตับอักเสบซีที่เป็นนั้นเป็นชนิดอะไร เพื่อเป็นแนวทางในการรักษาโรคต่อไป เนื่องจากการรักษาไวรัสแต่ละชนิดมีความยากง่ายแตกต่างกัน ระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการ) :ประมาณ 6-8 สัปดาห์ 


ใครที่มีความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี

โดยสามารถรับเชื้อไวรัสตับอักเสบซีได้โดยวิธีดังต่อไปนี้

  • ผู้ที่เคยได้รับเลือด และสารเลือด หรือรับบริจาคอวัยวะก่อนปี ก่อนปี พ.ศ.2535 เนื่องจากยังไม่มีการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบซี

  • ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะก่อนปี พ.ศ.2535

  • ผู้ที่สัมผัสหรือมีประวัติสัมผัสเลือด หรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส ตับอักเสบ ซี

  • ผู้ที่มีประวัติใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น หรือผู้ที่มีการฉีดสารเสพติดเข้าเส้นเลือด ถึงแม้ว่าทดลองใช้เพียงครั้งเดียว

  • ผู้ติดเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์

  • ผู้ที่มีภาวะไตวายเรื้อรังที่จำเป็นต้องได้รับการฟอกไตเป็นประจำ หรือผู้ที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม

  • ผู้ที่มีผลเลือดการทำงานของตับพบการอักเสบ หรือมีค่าเอนไซม์ของตับผิดปกติ

  • ชายรักชาย และพนักงานบริการทางเพศ หรือผู้ที่สำส่อนทางเพศ

  • ผู้ที่มีการสักตามตัว การใช้เข็มที่ติดเชื้อโรคสักผิวหนัง เจาะหู ฝังเข็ม

  • บุคลากรทางการแพทย์ที่ถูกเข็มตำจากผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง

  • ผู้ที่เคยรับการรักษาจากผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุข เช่น ฉีดยา ทำฟัน หรือหัตถการอื่น ๆ

  • การใช้ของส่วนตัวที่เปื้อนเลือดร่วมกัน เช่น มีดโกน หรือกรรไกรตัดเล็บ

  • ทารกที่เกิดจากแม่ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบซี (ติดได้แต่พบน้อย)

รู้จักกับอาการของโรคไวรัสตับอักเสบซี - สัญญาณที่ควรระวังเพื่อการป้องกันและรักษาสุขภาพตับของคุณ
อาการโรคไวรัสตับอักเสบซี

อาการโรคไวรัสตับอักเสบซี

ส่วนใหญ่ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี จะไม่รู้ตัว เพราะมักจะไม่มีอาการแสดงชัดเจน จะรู้ตัวก็ต่อเมื่อร่างกายเริ่มแสดงอาการออกมาตอนที่ตับได้รับความเสียหายมากแล้ว มีเพียงผู้ติดเชื้อบางส่วนเท่านั้นที่มีอาการแสดงให้เห็นในช่วง 6 เดือนแรกหลังจากการติดเชื้อ แต่อาการที่แสดงออกมาจะเกิดเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังการติดเชื้อเท่านั้น อาการของโรคไวรัสตับอักเสบซี แบ่งได้ ดังนี้


ระยะที่ 1 ตับอักเสบเฉียบพลัน

หลังจากไวรัสตับอักเสบ ซี เข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำให้เกิดการ อักเสบของตับ แต่ส่วนมากผู้ป่วยจะไม่มีอาการ หรืออาจจะแสดงอาการดังต่อไปนี้

  • มีไข้หรืออุณหภูมิในร่างกายสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส

  • รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สบายตัว

  • ปวดท้อง ไม่อยากอาหาร

  • จะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ที่เรียกว่า ดีซ่าน 


ระยะที่ 2 ตับอักเสบเรื้อรัง

ส่วนในผู้ป่วยที่ยังมีเชื้อไวรัสหลงเหลืออยู่ในร่างกายเป็นเวลาหลายปี อาจกลายเป็นไวรัสตับอักเสบ ซี แบบเรื้อรัง โดยโรคไวรัสตับอักเสบ ซี แบบเรื้อรังมักจะแสดงอาการหลังจากเกิดการติดเชื้อไปแล้วมากกว่า 10 ปี ซึ่งอาจไม่มีอาการใด ๆ เลย หรืออาจจะแสดงอาการดังต่อไปนี้

  • เป็นไข้ ไม่สบายตัว

  • รู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา

  • ปัสสาวะมีสีเข้ม

  • เกิดผื่นคันตามผิวหนัง

  • ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ

  • อาหารไม่ย่อย ปวดท้อง ท้องอืด

  • มีอาการบวมที่ขา เกิดรอยช้ำ หรือมีเลือดออกง่าย

  • มีปัญหาเกี่ยวกับความจำในระยะสั้น สมาธิ และความคิด

  • อารมณ์แปรปรวน เกิดความวิตกกังวล หรือมีภาวะซึมเศร้า 


ระยะที่ 3 ตับแข็ง

ในระยะแรก ยังไม่มีอาการ หรือความผิดปกติ ผู้ป่วยยังสามารถมีชีวิต ทำงานได้ ตามปกติเหมือนเดิมจนกระทั่งผู้ป่วยสูญเสียการทำงานของตับมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะเริ่มมี อาการต่าง ๆ ซึ่งอาการแสดงแบ่งเป็น 2 ระยะ


อาการที่เกิดจาการสูญเสียการทำงานของเซลล์ตับ ทำให้การสร้างสารอาหาร พลังงาน และการทำลายพิษต่าง ๆ ผิดปกติ อาจพบอาการ ดังนี้

  • อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ผอมลง

  • ตัวเหลือง ตาเหลือง

  • ท้องมาน ขาบวม

  • ผิวดำคล้ำ แห้ง คันโดยไม่มีแผล หรือผื่นมากกว่าเดิม

  • เลือดกำเดาออก เลือดออกตามไรฟัน

  • ผิวหนังช้ำ เขียวง่าย

  • ไวต่อยาหรือสารพิษต่าง ๆ มากกว่าปกติ

  • สมองมึนงง ซึม สับสน หรือโคม่า


 อาการที่เกิดจากภาวะตับแข็ง (Cirrhosis)

  • อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ ถ่ายเป็นเลือด เนื่องจากมีการแตกของหลอดเลือดโป่งพองในหลอดอาหาร (Esophageal varices)

  • ม้ามโต

  • ซีด เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวต่ำ

  • มะเร็งตับ


ภาวะแทรกซ้อนของโรคไวรัสตับอักเสบซี

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี เป็นเวลานานต่อเนื่องหลายปี หรือเรียกว่าโรคตับอักเสบเรื้อรังจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้หลายประการ ดังนี้

  • โรคตับแข็งมักเกิดหลังจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี มาแล้วประมาณ 20–30 ปี โดยเกิดจากการที่ตับอักเสบและถูกทำลายจนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

  • ภาวะตับวายอาจเกิดจากการเป็นโรคตับแข็งในระยะที่มีความรุนแรงมากจนทำให้ตับหยุดการทำงาน

  • โรคมะเร็งตับที่แม้จะมีโอกาสเกิดได้น้อย แต่ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน

ทราบวิธีการวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบซี - ขั้นตอนและเทคนิคที่ใช้เพื่อค้นหาและยืนยันการติดเชื้อ สำคัญสำหรับการรักษาในระยะเริ่มต้น
การวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบซี

การวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบซี

การวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบ ซี จะทำโดยการตรวจเลือดเพื่อหาว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ เพื่อช่วยให้แพทย์สามารถหาทางรักษาโรคได้อย่างเหมาะสมกับผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น

  • ภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบซี (anti-HCV) เป็นภูมิที่บอกว่ามีหรือเคยมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ถ้าให้ผลบวก แสดงว่าเคยมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีมาก่อนโดยที่ขณะนี้อาจมี หรือไม่มีไวรัสอยู่ในเลือดก็ได้

  • การนับปริมาณไวรัสโดยวิธี polymerase chain reaction (PCR) ถ้าให้ผลบวกแสดงว่ากำลังมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี

  • การตรวจการทำงานของตับเพื่อดูค่าการอักเสบของตับ (AST, ALT)

  • การตรวจหาปริมาณไวรัสในเลือด (Viral Load) 

  • ตรวจแบบ HCV-RNA เพื่อตรวจหาสารพันธุกรรม RNA ของไวรัส

  • การเจาะชิ้นเนื้อตับเพื่อการวินิจฉัย โดยจะทำในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น


การรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี

การรักษาผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี แพทย์จะพิจารณาตามภาวะของโรค และโรคร่วมต่างๆ ที่ผู้ป่วยเป็น เช่น


  • ผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบซี บางรายเมื่อตรวจเลือดพบค่าการอักเสบของตับ แพทย์จะนัดตรวจเลือดอีกครั้ง 6-12 เดือน 

  • เด็กที่เกิดจากแม่ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบซีไม่ควรเจาะเลือดก่อนอายุ 12 เดือนเนื่องจากเชื้อจากแม่ยังไม่หมด แนะนำให้ตรวจ anti-HCV เมื่อเด็กมีอายุ 18 เดือนขึ้นไป 


โรคนี้สามารถรักษาให้หายได้โดยการรับประทานยาร่วมกับยาฉีด สามารถกำจัดเชื้อให้หายขาดอย่างถาวร โดยประเมินจากจำนวนเชื้อไวรัสในเลือดหลังการรักษา ซึ่งจะช่วยให้อาการตับอักเสบดีขึ้น และหายไป ป้องกันไม่ให้เกิดตับแข็ง และมะเร็งตับ


ในผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ​ ซึ่งในการติดเชื้อช่วงเริ่มแรก หรือแบบเฉียบพลัน อาจไม่จำเป็นต้องรับการรักษาในทันที เนื่องจากร่างกายอาจกำจัดเชื้อไวรัสได้เอง โดยแพทย์อาจทำการตรวจเลือดเพื่อดูความเป็นไปได้ของโรคควบคู่ไปด้วย 


ส่วนผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบ ซี แบบเรื้อรัง มีความจำเป็นที่จะต้องรับการรักษา โดยแพทย์จะพิจารณาภาวะสุขภาพของผู้ป่วยก่อนทำการรักษา เช่น ความรุนแรงของโรค สายพันธ์ุของไวรัส และพยาธิสภาพที่ตับ ซึ่งโรคไวรัสตับอักเสบ​ ซี อาจสามารถรักษาด้วยการฉีดยาอินเตอเฟอรอน และการรับประทานยาต้านไวรัส แต่ผลการรักษาอาจแตกต่างกันออกไปตามภาวะสุขภาพของผู้ป่วยแต่ละคน

เข้าใจการป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบซี - วิธีปฏิบัติที่สามารถทำได้เพื่อลดความเสี่ยงและส่งเสริมสุขภาพตับของคุณ
การป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบซี

การป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบซี

โรคไวรัสตับอักเสบซี ยังไม่มีวัคซีนป้องกันเหมือนกับโรคไวรัสตับอักเสบ เอ และบี แต่สามารถป้องกันตัวเอง หรือ สามารถลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีได้หลายวิธี ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน โดยเฉพาะการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยหรือการที่ไม่รู้ประวัติสุขภาพของคู่นอน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีได้

  • ไม่ควรใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี รวมไปถึงอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่ร้ายแรงกว่าด้วย

  • สวมถุงมือถ้าต้องสัมผัสเลือด

  • ห้ามใช้มีดโกนหนวด กรรไกรตัดเล็บ  แปรงสีฟันร่วมกัน

  • การเจาะ หรือสักตามร่างกายควรเลือกร้านที่มีมาตรฐาน และมีการฆ่าเชื้ออุปกรณ์อย่างถูกสุขอนามัย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี ตามมา

  • บุคลากรทางการแพทย์ควรสวมถุงมือ แว่นตา หรือชุดคลุม เมื่อต้องสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วยทุกครั้ง

  • ควรดูแลสุขภาพตับให้ดีด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ 

  • ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ 

  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายตับอย่างการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้สุขภาพกายและสุขภาพตับแข็งแรง รวมถึงอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ด้วย


โรคไวรัสตับอักเสบชนิดซีเป็นภัยที่คุณควรให้ความสนใจอย่างมากเนื่องจากมีผลกระทบต่อสุขภาพตับ และอาจเป็นอันตรายถ้าไม่รักษาอย่างเหมาะสม การทราบถึงอาการ และปัจจัยเสี่ยงของโรคนี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณรักษาตัวเอง ป้องกันการติดเชื้อ รวมถึงการตรวจสุขภาพตับอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ สุขภาพที่ดีเป็นปัจจัยที่สำคัญในการรับมือกับภัยที่อาจเกิดจากโรคไวรัสตับอักเสบชนิดซี


コメント


bottom of page