top of page
Siri Writer

การดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวี

Updated: Feb 2, 2024

การดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวีเป็นปัญหาสำคัญในการรักษาเอชไอวี การดื้อยาเกิดขึ้นเมื่อไวรัสเอชไอวีในร่างกายเปลี่ยนแปลงตัวเองจนยาที่ใช้รักษาไม่สามารถควบคุมเชื้อเอชไอวีได้อีกต่อไป มีผลให้ปริมาณเชื้อเอชไอวีในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น  และมีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายเชื้อเอชไอวีได้มากขึ้น ทำให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสไม่ได้ผล จนอาการติดเชื้อเอชไอวีแย่ลงตามไปด้วย ฉะนั้นการเรียนรู้เกี่ยวกับสาเหตุ วิธีป้องกัน การดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวีสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีจึงต้องให้ความสำคัญ เพื่อให้การรักษาเอชไอวีมีประสิทธิภาพมากที่สุด


ภาพเกี่ยวกับการดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวี
การดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวี

การดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวี คืออะไร?  


การดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวี (HIV drug resistance) คือ ภาวะที่ยาต้านไวรัสไม่สามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสได้อีกต่อไป หรือการที่ยาต้านไวรัสที่กินอยู่ไม่สามารถควบคุมเชื้อเอชไอวีในร่างกายไม่ให้ก๊อปปี้เพิ่มได้แล้ว  สาเหตุมาจากไวรัสเอชไอวีในร่างกายมีการกลายพันธุ์ ทำให้รหัสพันธุกรรมบน genome ของเอชไอวีเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น ส่งผลให้มีการสร้างเอนไซม์ที่สำคัญของไวรัส (reverse transcriptase, protease และ integrase) ที่มีกรดอะมิโนต่างไปจากไวรัสเดิมที่ไวต่อยาต้านไวรัส (wild-type virus) ปกติเอชไอวีที่กลายพันธุ์จะเพิ่มจำนวนในร่างกายผู้ติดเชื้อได้ในปริมาณต่ำกว่าไวรัสสายพันธุ์เดิมที่เพิ่มจำนวนได้ดีกว่า แต่เมื่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีใช้ยาต้านเอชไอวี ยาต้านเอชไอวีจะกด และลดปริมาณไวรัสที่ไวต่อยาลง เปิดโอกาสให้ไวรัสกลายพันธุ์ที่ไม่ไวต่อยาต้านเอชไอวีที่ใช้อยู่เพิ่มจำนวนในร่างกายผู้ติดเชื้อได้ ซึ่งกรณีแบบนี้มักเกิดจากการกินยาต้านไม่ตรงเวลา เพราะหากใครที่ใช้ยาต้านไวรัสมาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอเกิน 6 เดือน แต่ปริมาณ HIV viral load ยังมีมากกว่า 1,000 ตัว/มิลลิลิตร หมายถึง การรักษาไม่เป็นผล และอาจมีภาวะดื้อยาร่วมด้วย โดยจะรู้ได้จากการตรวจเลือดแพทย์จะทราบได้ว่าคนไข้มีภาวะดื้อยา และต้องปรับสูตรยาหรือไม่


ประเภทของการดื้อยาต้านเอชไอวี แบ่งได้เป็น 2 ประเภท2 คือ


  • Primary drug resistance พบในผู้ติดเชื้อที่ไม่เคยได้รับการรักษามาก่อน โดยการรับเชื้อที่มีการดื้อยาอยู่แล้วมาจากผู้อื่น เช่น คู่นอนของตน หรือการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก

  • Secondary drug resistance หมายถึงการดื้อยาต้านไวรัสในผู้ติดเชื้อที่เคย หรือกำลังได้รับการรักษาด้วยยาต้านเอชไอวี และมีการรักษาที่ล้มเหลว


สาเหตุการดื้อยาต้านรีโทรไวรัส

สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น การไม่ทานยาตามที่แพทย์สั่ง การใช้ยาที่ไม่เหมาะสม หรือยาที่มีประสิทธิภาพต่ำ โดยการดื้อยาต้านรีโทรไวรัส  (Antiretroviral drugs : ARV)  ในแต่ละกลุ่มยา มีดังนี้

  • การดื้อยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่ม Entry inhibitor คือ เชื้อเอชไอวีจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกรดอะมิโนของตัวเชื่อม (ที่มีชื่อว่า Glycoprotein 41) ที่ช่วยให้เปลือกหุ้มของเชื้อเอชไอวีเชื่อมกับผนังเซลล์เม็ดเลือดขาวซีดี-4 เพื่อให้เชื้อเอชไอวีสามารถแทรกเข้าไปในผนังเซลล์เม็ดเลือดขาวซีดี-4 ได้ ดังนั้นเมื่อเกิดเชื้อเอชไอวีที่ดื้อยา ยาต้านไวรัสจึงไม่สามารถเข้าไปยับยั้งการเชื่อมรวมระหว่างเปลือกหุ้มของไวรัส กับผนังเซลล์ของเม็ดเลือดขาวชนิดซีดี-4 ได้ ทำให้เชื้อเอชไอวีสามารถเข้าสู่เซลล์เม็ดเลือดขาวซีดี-4 ได้

  • การดื้อยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่ม Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitor (NRTIs) คือ การทำให้ยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่ม NRTIs หรือ Nucleoside/Nucleotide ที่สังเคราะห์ขึ้นไม่สามารถจับกับดีเอ็นเอของรีโทรไวรัสได้เช่น การดื้อยาลามิวูดีน

  • การดื้อยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่ม Non- Nucleoside Reverse Transcrip tase Inhibitor (NNRTIs) คือ การกลายพันธุ์ของไวรัสที่ทำให้ยาในกลุ่ม NNRTIs ไม่สามารถเข้ามาจับกับเอนไซม์ Reverse transcriptase ได้ ซึ่งการดื้อยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่มนี้เป็นปัญหาสำคัญ เนื่องจากยา กลุ่มนี้เป็นยาหลักในการสร้างสูตรยาต้านไวรัสและเป็นกลุ่มยาที่มีการดื้อยาชนิดที่รุนแรงเช่น การดื้อยาเนวิราปีน, เอฟฟาไวเรนซ์

  • การดื้อยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่ม Protease Inhibitor (PIs) คือ การกลายพันธุ์ของไวรัสที่ทำให้ยาในกลุ่ม PIs ไม่สามารถจับกับเอนไซม์ Protease/เอนไซม์เกี่ยวกับการทำงานของโปรตีนได้ ซึ่งการดื้อยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่มนี้เป็นปัญหาสำคัญ เนื่องจากยากลุ่มนี้เป็นยาหลักในการสร้างสูตรยาต้านรีโทรไวรัสสำหรับผู้ติดเชื้อที่ผ่านการรักษาที่ล้มเหลวและมีการดื้อยาต้านรีโทรไวรัสมาแล้ว

  • การดื้อยาต้านรีโทรไวรัสกลุ่ม Integrase inhibitor (INSTs) คือ จะเกิดขึ้นเมื่อไวรัสเอชไอวีเกิดการกลายพันธุ์จนทำให้กรดอะมิโนบางตัวเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ยากลุ่มนี้ไม่สามารถเข้าไปทำลายการเจริญเติบโตของไวรัสได้


ภาพเกี่ยวกับลักษณะการดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวี
ลักษณะการดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวี

ลักษณะการดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวี

เมื่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี ทำตามแผนการรักษาเอชไอวีแล้ว จะต้องทำการตรวจปริมาณไวรัสเป็นประจำ การตรวจจะบอกว่ายาต้านไวรัสที่ใช้อยู่ปัจจุบัน สามารถควบคุมปริมาณไวรัสเอชไอวีได้หรือไม่ เมื่อเทียบกับปริมาณไวรัสที่ได้ตรวจไว้แล้วตั้งแต่แรกหรือช่วงเริ่มต้นการรักษา ซึ่งอาจต้องใช้เวลาสองถึงสามเดือนกว่าที่ยาต้านไวรัสจะสามารถควบคุมไวรัสเอชไอวีในร่างกายได้อย่างสมบูรณ์


หากกินยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างถูกต้อง การตรวจปริมาณไวรัสเอชไอวี จะต้องมีปริมาณที่ลดลง แต่หากมีการเพิ่มขึ้นของปริมาณไวรัสเอชไอวี แสดงว่าแผนการรักษาเอชไอวีไม่ประสบผลสำเร็จ แพทย์จะทำการทดสอบการดื้อยา ดังนี้

  • ปริมาณไวรัสพุ่งเกิน 1,000 ชุด/มล.

  • แผนการรักษาเอชไอวี ไม่สามารถลดปริมาณไวรัสลงอย่างรวดเร็วเท่าที่ควร


การทดสอบการดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวี คืออะไร?

ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีควรเริ่มกินยาต้านไวรัสเอชไอวีโดยเร็วที่สุดหลังจากได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อเอชไอวี แต่ก่อนที่จะเริ่มกินยาต้านไวรัสเอชไอวี จะต้องมีการตรวจปริมาณไวรัสไว้ก่อน เพื่อใช้ในการเปรียบเทียบว่าการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีได้ผลหรือไม่ ในระหว่างการรักษาเอชไอวีจะมีการตรวจปริมาณไวรัส ว่าการรักษาเอชไอวีของผู้ติดเชื้อเอชไอวีนั้นได้ผลหรือไม่ หากผลการรักษาไม่ได้ผล ก็จะมีการทดสอบการดื้อยา เพื่อระบุว่ายาต้านเอชไอวีชนิดใดที่จะไม่มีประสิทธิผลในการต่อต้านเอชไอวีของผู้ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งการทดสอบการดื้อยา สามารถทำได้ โดยใช้ตัวอย่างเลือด


การทดสอบการดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวี ทำอย่างไร?

การทดสอบการดื้อยาต้านเอชไอวี ทำได้ด้วยการเก็บตัวอย่างเลือดแล้วนำไปทดสอบในห้องปฏิบัติการที่มีใช้ในทางคลินิกโดยทั่วไปมีอยู่ 2 ประเภท ดังนี้

  • การทดสอบจีโนไทป์ (Genotypic drug resistant test)  เป็นการทดสอบประเภทนี้จะตรวจสอบลำดับทางพันธุกรรมของเอชไอวี เพื่อดูว่ามีการกลายพันธุ์ที่ทำให้เกิดการดื้อยาหรือไม่ เช่น การทดสอบที่ยีน Reverse transcriptase (RT), โปรตีเอส (PR) และยีนจำนวนเต็ม (IN) ซึ่งผู้ติดเชื้อเอชไอวีทุกคนควรได้รับการทดสอบประเภทนี้ก่อนเริ่มการรักษา ในบางกรณีพิเศษ (เช่น หากคุณกำลังตั้งครรภ์ หรือเพิ่งติดเชื้อเอชไอวี) แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ ต้องเริ่มการรักษาเอชไอวีทันที แทนที่จะรอการตรวจจีโนไทป์

  • การทดสอบฟีโนไทป์ (Phenotypic drug resistant test) เป็นการทดสอบประเภทนี้จะวัดพฤติกรรม หรือฟีโนไทป์ของเชื้อเอชไอวี ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี ด้วยการทดสอบเลือดของผู้ติดเชื้อเอชไอวีกับยาต้านไวรัสที่มีความเข้มข้นต่างกัน ในห้องปฏิบัติการเพื่อดูว่าไวรัสเอชไอวียังสามารถแพร่พันธุ์ได้หรือไม่  โดยปกติแล้ว การทดสอบนี้เหมาะกับผู้ติดเชื้อที่เคยได้รับการรักษาเอชไอวีมาแล้ว


กล่าวคือ การทดสอบจีโนไทป์นั้นง่ายกว่า เร็วกว่า และถูกกว่า แต่การทดสอบฟีโนไทป์อาจมีความแม่นยำมากกว่าในบางกรณี สำหรับผู้ที่เพิ่งได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อเอชไอวีที่กำลังเริ่มการรักษาเป็นครั้งแรก แค่การทดสอบจีโนไทป์ ก็มักจะเพียงพอแล้ว ซึ่งแนวทางการรักษาเอชไอวีจากกระทรวงสาธารณสุข จะแนะนำการทดสอบจีโนไทป์เมื่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้ารับการรักษาเอชไอวี เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกสูตรยาต้านไวรัสชุดแรก อย่างไรก็ตาม การบำบัดไม่ควรล่าช้าในขณะที่รอผลการทดสอบ สามารถเริ่มการรักษามาตรฐานได้ทันที และปรับเปลี่ยนยาต้านไวรัสเอชไอวีได้ในภายหลังหากจำเป็น


ผู้ติดเชื้อเอชไอวี สามารถลดความเสี่ยงของการดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวีได้อย่างไร?

ด้วยการกินยาต้านไวรัสเอชไอวี อย่างสม่ำเสมอ ทุกวัน และตามที่กำหนด ช่วยลดความเสี่ยงของการดื้อยา การละเว้นยาต้านเชื้อเอชไอวีจะทำให้เชื้อเอชไอวีเพิ่มจำนวน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่ไวรัสเอชไอวีจะกลายพันธุ์ และผลิตเชื้อเอชไอวีที่ดื้อยาได้ 


ก่อนที่จะเริ่มการรักษาเอชไอวี ควรแจ้งแพทย์ที่ทำการรักษา เกี่ยวกับปัญหาใดๆ ที่อาจทำให้กินยาต้านไวรัสนั้นทำได้ยาก เช่น ตารางงานที่ยุ่ง หรือขาดประกันสุขภาพ อาจทำให้ยากต่อการกินยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างสม่ำเสมอ เมื่อต้องเริ่มการรักษาเอชไอวี ซึ่งแพทย์อาจแนะนำให้ใช้กล่องยาแบบ 7 วัน หรืออุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อช่วยให้เป็นไปตามแผนของการรักษา


ภาพเกี่ยวกับการป้องกันการดื้อยาไวรัสเอชไอวี
การป้องกันการดื้อยาไวรัสเอชไอวี

การป้องกันการดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวี

หากติดเชื้อเอชไอวี ผู้ติดเชื้อเอชไอวีควรอยู่ในแผนการรักษา และทานยาต้านไวรัส ตามที่แพทย์สั่ง วิธีนี้สามารถช่วยให้หลีกเลี่ยงการดื้อยาได้

  • เรียนรู้เกี่ยวกับการรักษาเอชไอวีและทางเลือกที่มี ยิ่งคุณรู้มากเท่าไร การตัดสินใจเลือกการรักษาที่ช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการดื้อยาก็จะยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้น

  • เริ่มการรักษาด้วยสูตรยาต้านไวรัสผสมผสานที่มีศักยภาพ ซึ่งให้โอกาสที่ดีที่สุดในการยับยั้งไวรัสได้เต็มที่ และป้องกันการวิวัฒนาการของการกลายพันธุ์ของการดื้อยา

  • เพื่อให้เป็นไปตามแผน โดยปกติจะต้องรับประทานยาวันละครั้ง แต่สิ่งสำคัญ คือ ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างรอบคอบ ขึ้นอยู่กับแผนการรักษาเฉพาะของผู้ติดเชื้อเอชไอวีแต่ละราย ดังนั้นอาจต้องกินยาต้านไวรัส ตามเวลาที่กำหนดในระหว่างวัน พร้อมอาหาร หรือแม้แต่ในขณะท้องว่างก็ตาม

  • การที่ผู้ติดเชื้อเอชไอวี กินยาต้านไวรัส อย่างถูกต้องตรงตามที่กำหนด  ยาต้านไวรัสจะออกฤทธิ์ได้ดีมาก

  • หากลืมกินยาต้านไวรัส ให้กินยาทันทีที่จำได้ (เว้นแต่แพทย์จะระบุไว้เป็นอย่างอื่น) แต่หากใกล้กับเวลาที่กินยาครั้งต่อไป ให้ข้ามไป และทำกิจวัตรประจำวันต่อไป อย่ากินยาสองครั้ง เพราะจะทำให้เกิดการดื้อยา

  • เมื่อเปลี่ยนวิธีการรักษา ให้เลือกวิธีการรักษาใหม่ที่มีประสิทธิภาพซึ่งยอมรับได้ดีและใช้งานง่าย

  • รับการทดสอบติดตามเป็นประจำ รวมถึงปริมาณไวรัสและการวัดเซลล์ CD4 เพื่อให้แน่ใจว่าการรักษาของคุณได้ผล


ฉะนั้นการทำความเข้าใจ และป้องกันการดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวี จึงถือเป็นเรื่องสำคัญในการควบคุมเชื้อเอชไอวี การกินยาต้านไวรัสตามที่แพทย์สั่ง และการติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ คือ วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการดื้อยา เพราะ ยาต้านไวรัสในปัจจุบันมีประสิทธิภาพมาก หากกินยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีส่วนใหญ่ที่เริ่มการรักษาเป็นครั้งแรก สามารถพบวิธีการที่จะระงับปริมาณไวรัสในระยะยาว ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่จะเกิดการดื้อยาได้


Kommentare


bottom of page