top of page
Siri Writer

การติดเชื้อเอชไอวีในเด็ก

Updated: Feb 17, 2024

ปัจจุบันเด็กติดเชื้อเอชไอวีที่เกิดขึ้นใหม่ โดยการติดเชื้อเอชไอวีในเด็กส่วนใหญ่ เกิดจากการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก การถ่ายทอดเชื้อเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์แม่ ระหว่างการคลอด หลังคลอด และทารกที่กินนมแม่ ทำให้บางส่วนอาจจะเสียชีวิต บางส่วนเด็กก็จะกำพร้าพ่อ-แม่ตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะเด็กบางคนไม่ได้ติดเชื้อแต่กำเนิดจากแม่ที่ติดเชื้อ


ซึ่งในปัจจุบันมีการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก เป็นผลทำให้มีอัตราเด็กติดเชื้อแรกเกิดใหม่ลดลงมาก รวมถึงการตรวจวินิจฉัยภาวะติดเชื้อเอชไอวีในเด็กได้ตั้งแต่เนิ่นๆ หรือแรกเริ่มจะทำให้การดูแลรักษาเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ภาพแสดงการติดเชื้อเอชไอวีในเด็ก
การติดเชื้อเอชไอวีในเด็ก

สาเหตุการติดเชื้อเอชไอวีในเด็ก

มาจากปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการแพร่เชื้อไปยังเด็กมากที่สุด คือ ปริมาณของเชื้อไวรัสเอชไอวีในเลือดของแม่ระหว่างตั้งครรภ์ การคลอดบุตร หรือให้นมบุตร ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่พบได้ เช่น ระยะโรคที่เป็นมาก ปริมาณเม็ดเลือดขาวต่ำ  มีการติดเชื้อฉวยโอกาส  การสูบบุหรี่ ภาวะซีด หรือการขาดวิตามินเอของหญิงตั้งครรภ์ การที่ลูกคลอดก่อนกำหนด การคลอดทางช่องคลอด และการทำสูติศาสตร์หัตถการบางอย่าง เช่น  การเจาะถุงน้ำคร่ำ  การช่วยคลอดด้วยคีมหรือเครื่องดูดสุญญากาศ เป็นต้น รวมถึงการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อีกด้วย


การถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกได้ทางไหนบ้าง?


ทารกมีโอกาสได้รับเชื้อจากแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวี ได้ดังนี้

  • ขณะตั้งครรภ์

  • ระหว่างคลอด

  • หลังคลอด ผ่านทางการกินนมแม่

โอกาสที่ทารกจะติดเชื้อเอชไอวีจากแม่ ดังนี้

  • แม่ที่ไม่ได้กินยาต้านไวรัสเอชไอวีเลย ทารกมีโอกาสติดเชื้อ 1 ใน 4

  • แม่ที่ได้กินยาต้านไวรัสเอชไอวี อย่างน้อย 4 สัปดาห์ก่อนคลอด ทารกมีโอกาสติดเชื้อประมาณ 10%

  • แม่ที่กินยาต้านไวรัสเอชไอวี มากกว่า 4 สัปดาห์ก่อนคลอด โอกาสที่ทารกจะติดเชื้อเหลือน้อยกว่า 2%

  • เด็กทุกรายที่ติดเชื้อเอชไอวี ในปัจจุบัน เกิดจากแม่ที่ไม่ได้ฝากครรภ์ จึงทำให้ติดเชื้อเอชไอวีขณะคลอด เมื่อคลอดแล้ว มีการตรวจถึงมารู้ว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวี แม่จึงหมดโอกาสปกป้องทารกในครรภ์ จากการติดเชื้อเอชไอวี

ภาพแสดงอาการติดเชื้อเอชไอวีในเด็ก
อาการติดเชื้อเอชไอวีในเด็ก

อาการติดเชื้อเอชไอวีในเด็ก

อาการจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอายุของเด็ก ต่อไปนี้เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดของการติดเชื้อเอชไอวีในเด็ก ดังนี้


อาการในทารก มีดังนี้


  • ล้มเหลวในการเจริญเติบโต การเจริญเติบโตทางร่างกาย และพัฒนาการล่าช้า โดยเห็นได้จากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นและการเติบโตของกระดูกที่ไม่ดี

  • ท้องบวม เกิดจากการบวมของตับและม้าม

  • ต่อมน้ำเหลืองบวม

  • ท้องเสียเป็นระยะ โรคท้องร่วงที่อาจเกิดขึ้นและไป

  • โรคปอดอักเสบ

  • เชื้อราในปาก การติดเชื้อราในปากโดยมีลักษณะเป็นปื้นสีขาวบนแก้มและลิ้น รอยโรคเหล่านี้อาจทำให้ทารกเจ็บปวดได้


อาการในเด็กอายุมากกว่า 1 ปี แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง อาจรวมถึงอาการข้างต้นด้วย และอาจมีอาการเพิ่มเติม ดังนี้

อาการไม่รุนแรง

อาการปานกลาง

อาการรุนแรง

ต่อมน้ำเหลืองบวม

โรคปอดบวม - อาการบวมและอักเสบของเนื้อเยื่อปอด

การติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรง 2 ครั้งในระยะเวลา 2 ปี (เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อในเลือด หรือโรคปอดบวม)

การติดเชื้อไซนัสอย่างต่อเนื่องหรือเกิดซ้ำ

เชื้อราในปากที่กินเวลานานกว่าสองเดือน

การติดเชื้อราที่เกิดขึ้นในระบบทางเดินอาหารหรือปอด

การติดเชื้อที่หูอย่างต่อเนื่องหรือเกิดซ้ำ

ท้องเสียอย่างต่อเนื่องหรือเกิดซ้ำ

Encephalopathy-การอักเสบของสมอง 

ผิวหนังอักเสบ - มีอาการคันและมีผื่นที่ผิวหนัง

ไข้ที่คงอยู่นานกว่าหนึ่งเดือน

เนื้องอก หรือรอยโรคที่ร้ายแรง

ท้องบวมจากขนาดตับและม้ามที่เพิ่มขึ้น

โรคไต

Pneumocystis jiroveci pneumonia (ประเภทของโรคปอดบวมที่พบบ่อยที่สุดใน HIV)

การวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวีในเด็ก


การวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวีในเด็กขึ้นอยู่กับการตรวจพบไวรัสเอชไอวี เนื่องจากทารกทุกคนที่เกิดมาจากมารดาที่ติดเชื้อเอชไอวี จะมีการทดสอบแอนติบอดีเชิงบวกตั้งแต่แรกเกิด เนื่องจากมีการถ่ายโอนแอนติบอดี เชื้อเอชไอวีไปทางรก การทดสอบทางไวรัสวิทยาจึงถูกนำมาใช้เพื่อยืนยันการวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวีในเด็ก


สำหรับทารกที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อเอชไอวี จะทำการตรวจวินิจฉัยไวรัสเอชไอวี ภายใน 2 วันแรกหลังคลอด, เมื่ออายุ 1 ถึง 2 เดือน และเมื่ออายุ 4 ถึง 6 เดือน การวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวีสามารถทำได้ด้วยการทดสอบไวรัสวิทยาเชิงบวกสองครั้งที่ได้รับจากตัวอย่างเลือดที่แตกต่างกัน


สำหรับเด็กอายุมากกว่า 18 เดือน วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ การวินิจฉัยจะทำโดยการตรวจเลือดว่ามีแอนติบอดีเอชไอวีหรือไม่


การวินิจฉัยโรคเอชไอวีในเด็กมักเกี่ยวข้องกับการทดสอบหลายชุด ดังนี้


  • HIV Antibody Test : การตรวจเลือดนี้จะตรวจหาแอนติบอดีที่ผลิตโดยระบบภูมิคุ้มกันเพื่อตอบสนองต่อการติดเชื้อเอชไอวี อย่างไรก็ตาม อาจไม่น่าเชื่อถือในทารกที่อายุน้อยกว่า 18 เดือน เนื่องจากมีแอนติบอดีของมารดาตั้งแต่แรกเกิด

  • HIV Nucleic Acid Test (NAT):: หรือที่เรียกว่าการทดสอบ PCR (ปฏิกิริยาลูกโซ่โพลีเมอเรส) เป็นการตรวจจับสารพันธุกรรมของไวรัสและมักใช้สำหรับการวินิจฉัยเบื้องต้นในทารก

  • CD4 Count: การทดสอบนี้จะวัดจำนวนเซลล์ CD4 ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่เป็นเป้าหมายของ HIV ในกระแสเลือดของเด็ก จำนวน CD4 ต่ำบ่งชี้ว่าระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

  • Viral Load Test:  การทดสอบนี้จะวัดปริมาณ HIV RNA ในเลือด โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับระดับของการจำลองแบบของไวรัสในร่างกาย

ภาพแสดงการรักษาเอชไอวีในเด็ก
การรักษาเอชไอวีในเด็ก

การรักษาเอชไอวีในเด็ก

ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี ควรไปพบแพทย์ เพราะการตรวจหาเชื้อเอชไอวีได้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะทำให้มีทางเลือกในการรักษามากขึ้น และสามารถป้องกัน หรือรักษาภาวะที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวีได้ในหญิงตั้งครรภ์ ที่สามารถรักษาด้วยการกินยาต้านรีโทรไวรัส ซึ่งมีผลพิสูจน์แล้วว่าลดโอกาสที่ทารกจะติดเชื้อเอชไอวีจากแม่ได้อย่างมาก และอาจมีการเพิ่มคำแนะนำด้วยการผ่าตัดคลอดเพื่อลดการแพร่เชื้อของทารกจากช่องคลอด และการให้นมแบบอื่นๆ แทนนมแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวี


ความสำคัญการรักษาเอชไอวีในเด็ก มีดังนี้

  • เป้าหมายของการรักษาเอชไอวีในเด็ก คือ การยับยั้งไวรัสเอชไอวี เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน และปรับปรุงสุขภาพโดยรวมและคุณภาพชีวิต โดยทั่วไปการรักษาจะเกี่ยวข้องกับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) ร่วมกัน ซึ่งประกอบด้วยยาหลายชนิดที่รับประทานทุกวัน โดยปรับให้เหมาะกับอายุ น้ำหนัก และสายพันธุ์เอชไอวีเฉพาะของเด็ก

  • นอกเหนือจากการใช้ยาต้านไวรัสแล้ว การดูแลแบบประคับประคอง รวมถึงการสนับสนุนทางโภชนาการ การฉีดวัคซีนเป็นประจำ และการสนับสนุนด้านจิตวิทยา ก็มีบทบาทสำคัญในการจัดการติดเชื้อเอชไอวีในเด็ก การติดตามปริมาณไวรัส จำนวน CD4 และสุขภาพโดยรวมเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญในการประเมินประสิทธิภาพการรักษา และปรับการรักษาตามความจำเป็นสำหรับเด็กแต่ละคน


ปัจจัยที่ส่งผลต่อการรักษาเอชไอวีในเด็ก

ปัจจัยหลายประการอาจทำให้การกินยาสม่ำเสมอทำได้ยากสำหรับเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี มีดังนี้

  • ตารางงานของผู้ปกครองที่ยุ่งซึ่งทำให้ยากต่อการกินยารักษาเอชไอวี ให้ตรงเวลาทุกวัน

  • ผลข้างเคียงจากยารักษาเอชไอวี

  • เด็กอาจปฏิเสธที่จะรับประทานยาเอชไอวี เพราะว่ารสชาติไม่อร่อย

  • ปัญหาภายในครอบครัว เช่น ความเจ็บป่วยทางร่างกาย หรือจิตใจ สถานการณ์ที่อยู่อาศัยที่ไม่มั่นคง หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือยาเสพติด

  • ขาดประกันสุขภาพเพื่อครอบคลุมค่ายารักษาเอชไอวี

  • การเจริญเติบโต และพัฒนาการของเด็ก

  • การให้ยาเอชไอวีอาจขึ้นอยู่กับน้ำหนักของเด็กมากกว่าอายุ

  • อายุของเด็ก ซึ่งหากเด็กที่ยังเล็กเกินไปที่จะกลืนยาเม็ด อาจใช้ยารักษาเอชไอวีที่มาในรูปแบบของเหลว

การกินยาต้านไวรัสทุกวัน และตรงตามที่แพทย์สั่ง หากกินยาไม่ได้ตามที่แพทย์สั่ง อาจมีผลต่อการรักษาเอชไอวีในเด็ก เพราะการรักษาเอชไอวีที่มีประสิทธิผลขึ้นอยู่กับการกินยาที่ต้องกินยาอย่างสม่ำเสมอ 

ภาพแสดงการดูแลเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี
การดูแลเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี

การดูแลเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี

การดูแลเด็กที่ติดเชื้อเอชไอวี  ควรทำให้เด็กที่ติดเชื้อมีชีวิตใกล้เคียงกับเด็กปกติมากที่สุด  แม้ยาต้านไวรัสทำให้เด็กมีชีวิตยืนยาวจนโตได้ แม้ว่าเด็กที่ติดเชื้อบางคนยังมีความเจ็บป่วย  ผ่ายผอม  และมีสภาพร่างกายที่ไม่ปกติ  ซึ่งการดูแลสามารถปฏิบัติได้ ดังนี้

  • เด็กที่ติดเชื้อต้องดูแลสุขภาพทั่วไปให้มีสุขอนามัยที่ดี  เพื่อลดความเสี่ยงต่อ การเจ็บป่วยซ้ำเติม  เพราะภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกาย  อาจจะไม่ปกติในบางช่วงเวลาได้

  • สุขอนามัยควรเริ่มปฏิบัติตั้งแต่วัยทารก  ให้อาหารที่สะอาดเพียงพอ ครบทุกหมู่  ระวังอาหารหวาน  และการคานมขวดจนหลับ  เพราะมักเป็นสาเหตุของภาวะฟันผุอย่างแรงได้ การรักษาสุขอนามัยทั่วไป  เช่น  อาบน้ำ  แปรงฟัน  ตัดเล็บ  ล้างมือ  ต้องเน้นย้ำมากกว่าปกติ  แนะนำให้ดื่มน้ำสุกเสมอ  และไม่ให้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่ต้องมีการสัมผัส  เช่น  สุนัข  แมว 

  • ควรส่งเสริมให้เด็กออกกำลังกาย  และมีกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย ไปโรงเรียนตามปกติ  โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้โรงเรียนทราบว่าเป็นโรคนี้  แต่ต้องหลีกเลี่ยงภาวะที่ต้องมีการกระทบกระแทกมีเลือดออก  เด็กเหล่านี้สามารถเล่นกีฬาได้ แต่ไม่ควรเล่นกีฬาที่อาจมีการกระทบกระแทกร่างกายได้

  • การฝึกระเบียบวินัยเป็นเรื่องสำคัญ  เพราะต้องกินยาอย่างเคร่งครัด  ตรงเวลาตลอดชีวิต  การเลี้ยงดูแบบเอาอกเอาใจเกินไป  หรือแบบไม่สนใจ  จะทำให้เด็กมีปัญหาในการดูแลตนเองต่อไป ซึ่งควรเด็กควรได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างเหมาะสม  เพราะยาต้านไวรัสทำให้การใช้ชีวิตได้เหมือนเด็กปกติ  เพียงต้องกินอย่างเคร่งครัด และมาติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ

  • ในเด็กเล็กคำอธิบายที่เหมาะสมกับวัยให้เข้าใจว่าทำไมต้องกินยาโดยยังไม่ต้องบอกชื่อโรค  จะช่วยให้เด็กร่วมมือดีขึ้น  ความรักความอบอุ่นในครอบครัว  จะลดปัญหาการต่อต้านได้  บางครั้งยาที่ใช้ต้องเป็นยาเม็ด  ต้องมีการตัดแบ่งหรือบด  จำเป็นต้องมีการฝึกสอนให้ผู้ปกครองทำได้อย่างถูกต้อง   การกินยาให้ถูกต้องจะลดโอกาสที่เกิดเชื้อดื้อยาได้มาก


การป้องกันทารกที่จะติดเชื้อเอชไอวีจากมารดา ทำได้โดยการตรวจคัดกรองเอชไอวี ในคู่สามี-ภรรยา ที่วางแผนจะมีลูก หรือเมื่อเริ่มไปฝากครรภ์ หากตรวจพบการติดเชื้อเอชไอวีในหญิงตั้งครรภ์ ให้รีบรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส และ ให้ทารกงดนมแม่ และให้ทารกกินยาต้านไวรัสอย่างน้อย 4 สัปดาห์หลังคลอด ฉะนั้นการให้ความสำคัญกับการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในเด็ก จึงจำเป็นต้องมีการตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวีได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อการดูแลอย่างต่อเนื่อง ด้วยการตระหนักถึงอาการ การวินิจฉัยอย่างทันท่วงที และเริ่มการรักษาที่เหมาะสม เพื่ออนาคตที่สดใส และมีสุขภาพที่ดีสำหรับเด็ก

Commentaires


bottom of page