การติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ทำให้เกิดกลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาเอชไอวีที่หายขาด แต่สามารถควบคุมเชื้อเอชไอวีได้ ด้วยการให้ยาต้านไวรัสเอชไอวี ที่ทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และลดภาวะแทรกซ้อนของโรคติดเชื้อฉวยโอกาสได้ ซึ่งเชื้อเอชไอวี สามารถแพร่กระจายผ่านตัวกลางบางอย่างเท่านั้น เช่น เลือด น้ำนม อสุจิ น้ำหล่อลื่นจากอวัยวะเพศชาย และของเหลวจากช่องคลอด หรือทวารหนัก
ฉะนั้นในหญิงตั้งครรภ์ทุกคน ควรต้องตรวจหาเชื้อเอชไอวีอย่างน้อยหนึ่งครั้ง เพราะหากหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อเอชไอวี จะทำให้ทารกในครรภ์มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีด้วย ดังนั้นหากตรวจพบเชื้อเร็ว รักษาเร็ว จะช่วยลดความเสี่ยงที่ทารกจะติดเชื้อเอชไอวี โดยมีเป้าหมายที่สำคัญ คือ เพื่อให้แม่มีสุขภาพที่ดี ได้รับยาต้านไวรัสที่เหมาะสม และลดอัตราการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ทารกในครรภ์ได้ด้วย
ถ้าผู้หญิงมีเชื้อเอชไอวี จะสามารถมีบุตรได้หรือไม่? และถ้ามีแล้วบุตรจะติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่?
ผู้หญิงที่มีเชื้อเอชไอวีสามารถมีลูกได้ หากถ้ายังไม่ได้รับการรักษาเอชไอวี ก็จะสามารถส่งต่อเชื้อเอชไอวีไปสู่ลูกได้ แต่หากได้รับการรักษาเอชไอวีอย่างเหมาะสม โอกาสที่จะส่งต่อเชื้อไปสู่ลูกจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การรักษาเอชไอวีในปัจจุบันสามารถช่วยให้ผู้หญิงหลายคนที่มีเชื้อเอชไอวีสามารถตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย ซึ่งการปกป้องลูกจากการติดเชื้อเอชไอวีขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพของแม่ในระหว่างการตั้งครรภ์ ในช่วงการคลอด และหลังคลอด ด้วยการรับประทานยาต้านไวรัสเอชไอวี เพื่อลดโอกาสที่เชื้อไวรัสเอชไอวีจะถูกส่งต่อไปยังลูก ดังนั้นการดูแลสุขภาพขณะตั้งครรภ์ ควรปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ อย่างเคร่งครัด จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะส่งต่อเชื้อไวรัสเอชไอวีไปยังลูกได้
การถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก
โอกาสที่ลูกจะได้รับเชื้อเอชไอวีจากแม่ สามารถเกิดขึ้นได้ 3 ช่วง ดังนี้
ช่วงแรก เป็นช่วงที่ทารกยังอยู่ในครรภ์
ในระหว่างตั้งครรภ์ เชื้อเอชไอวีสามารถผ่านทางรก (transplacental transmisssion) ไปสู่ทารกในครรภ์ได้ ทำให้ทารกในครรภ์ติดเชื้อได้ ซึ่งอาจพบได้ตั้งแต่ระยะแรกของการตั้งครรภ์ ช่วงนี้ป้องกันได้ยาก จะป้องกันได้ด้วยการให้แม่กินยาต้านไวรัสเอชไอวี ซึ่งต้องเป็นการให้ยาชนิดแรงๆ แต่เนิ่นๆ เช่น การตั้งครรภ์ใหม่ๆ ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นอันตรายต่อทารกที่กำลังสร้างแขนสร้างขาขึ้นหรือไม่
ช่วงที่ ๒ เป็นช่วงระหว่างการคลอดลูก
ในขณะคลอดลูก (intrapartum) หรือ ๑-๒ สัปดาห์ก่อนคลอด เชื้อเอชไอวี อาจเข้าสู่ตัวลูกระหว่างการบีบรัดตัวของมดลูกตอนเจ็บท้องคลอด หรือการสัมผัสเลือด และสารคัดหลั่งขณะคลอด เพราะเลือดแม่ที่มีเชื้อเอชไอวี ไปปนเปื้อนบนตัวเด็กขณะคลอด ช่วงนี้เป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของการติดเชื้อเอชไอวีในเด็ก
การป้องกันในช่วงนี้อาจทำได้หลายวิธี
การล้างช่องคลอดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเอชไอวีก่อนเด็กคลอด
วิธีการทำคลอดที่ทำให้มีการปนเปื้อนเลือดแม่น้อยที่สุด เช่น การผ่าตัดทำคลอดที่หน้าท้อง
การล้างตัวเด็กให้เร็วที่สุดหลังคลอด
การให้ยาต้านไวรัสเอชไอวี แก่แม่ในช่วงท้ายๆ ของการตั้งครรภ์ เพื่อลดปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือดก่อนคลอด และเพื่อให้มียาต้านไวรัสเอชไอวีผ่านไปสู่ตัวลูกด้วย
การให้ยาต้านไวรัสเอชไอวี แก่ลูกในช่วงสั้นๆ หลังคลอด คล้ายการให้ยาป้องกันในคนที่ถูกเข็มที่เปื้อนเลือดเอชไอวี
ช่วงที่ ๓ เป็นช่วงการให้นมลูก
ในระหว่างให้นมลูก (breastfeeding) เพราะน้ำนมจากแม่สามารถแพร่เชื้อไวรัสเอชไอวีไปยังลูกได้ ในทารกที่เลี้ยงด้วยนมแม่ พบว่ายิ่งดูดนมแม่นานจะยิ่งติดเชื้อเอชไอวีมากขึ้น การป้องกันในการติดเชื้อเอชไอวีช่วงนี้ คือ การใช้นมผงเลี้ยงลูกแทนนมแม่ตั้งแต่เกิด ซึ่งเป็นวิธีที่สำคัญที่ทำให้ลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวีจากแม่
วิธีช่วยปกป้องลูกน้อยจากเชื้อเอชไอวีในระหว่างตั้งครรภ์
ควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวี หากมีเชื้อเอชไอวี ก็ควรเข้ารับการรักษาเอชไอวีก่อน และระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในทารกได้ หากรับประทานยาต้านไวรัสเอชไอวีตลอดการตั้งครรภ์ จนถึงการคลอดลูก และให้ยาต้านไวรัสเอชไอวีแก่ทารกเป็นเวลา 4 ถึง 6 สัปดาห์หลังคลอด ทำให้ความเสี่ยงในการแพร่เชื้อเอชไอวีไปยังทารกอาจเป็น 1 ใน 100 (1 เปอร์เซ็นต์) หรือน้อยกว่า นั่นทำให้ผู้หญิงที่ติดเชื้อเอชไอวี ร้อยละ 99 จะไม่แพร่เชื้อเอชไอวีไปยังทารกในครรภ์
ก่อนการให้ยาต้านไวรัสเอชไอวี สำหรับหญิงตั้งครรภ์
ก่อนการให้ยาต้านไวรัสเอชไอวี สำหรับหญิงตั้งครรภ์ จะมีการประเมินหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวีดังนี้
การซักถามประวัติเบื้องต้น
ประวัติการได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวี เพื่อการรักษา หรือเพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก
สถานะการติดเชื้อของทารกในครรภ์ก่อน
ระยะเวลาที่รู้ว่าติดเชื้อเอชไอวี
การดื้อยา การแพ้ยา การหยุดยา
การแสดงของการติดเชื้อเอชไอวี
การติดเชื้อโรคฉวยโอกาส
ตรวจระดับเม็ดเลือดขาว CD4 ของหญิงตั้งครรภ์
การตรวจร่างกาย
ส่งตรวจตาเพื่อดูการอักเสบของจอประสาทตาในรายที่ติดเชื้อ Cytomegalovirus หรือToxoplasmosis
ตรวจภายในเพื่อตรวจการติดเชื้อราในช่องคลอด และตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจเลือดเพื่อฝากครรภ์ตามปกติ
การตรวจเลือดเพื่อประเมินความเหมาะสมในการให้ยาต้านไวรัส หรือเพื่อเป็นค่าพื้นฐานก่อนการให้ยา ได้แก่
การตรวจระดับเม็ดเลือดและเกร็ดเลือด (CBC with Platelet)
การส่งตรวจการทำงานของไต (BUN/Cr)
การส่งตรวจการทำงานของตับ (Liver Function Test)
การตรวจระดับเม็ดเลือดขาว CD4 หรือจำนวนเชื้อไวรัส viral load
อาจพิจารณาการตรวจคัดกรองเพิ่มเติม ดังนี้
CD4 count ทันทีและติดตามทุก 6 เดือน
Viral load ที่อายุครรภ์ 36 สัปดาห์ และกินยาต้านไวรัสมาแล้วอย่างน้อย 4 สัปดาห์ขึ้นไป
ตรวจภายใน และคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม ไม่ว่าจะมีอาการหรือไม่ก็ตาม เนื่องจากสตรีตั้งครรภ์มีความเสี่ยงต่อการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ตรวจคัดกรองภาวะติดเชื้อร่วมอื่นๆ (co-infection) เช่น Anti-HCV
คัดกรองประวัติสัมผัสวัณโรค อาการและอาการแสดงของวัณโรค เช่น ไอ มีไข้ น้ำหนักลด
ตรวจพิเศษอื่นๆ เพื่อสืบค้นโรคติดเชื้อฉวยโอกาสตามอาการ
ผลการติดเชื้อเอชไอวีที่มีผลต่อการตั้งครรภ์
การติดเชื้อเอชไอวี ไม่ได้มีผลทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิดในทารก แต่พบว่าการติดเชื้อเอชไอวีทำให้เพิ่มการแท้งบุตร ทารกโตช้าในครรภ์ ทารกตายตอนคลอด การคลอดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนักน้อย อัตราการตายปริกำเนิด และอัตราตายของทารก แต่หากสตรีตั้งครรภ์ได้รับยา HARRT ตั้งแต่แรกที่มาฝากครรภ์ พบว่าภาวะทารกโตช้าในครรภ์ การคลอดก่อนกำหนด และทารกน้ำหนักน้อยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่ได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวี
ดังนั้นการเตรียมสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ที่มีเชื้อเอชไอวี เป็นเรื่องสำคัญ เพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ และการคลอด โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการตั้งครรภ์ คือ ต้องมีปริมาณไวรัสเอชไอวี (viral load) น้อยกว่า 50 copies/mL , CD4 > 350 cell/mm
การรักษาเอชไอวีในหญิงตั้งครรภ์
หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวีควรรับประทานยาต้านไวรัสเอชไอวี ซึ่งยาต้านไวรัสเอชไอวีสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อเอชไอวีไปยังทารก และยังช่วยดูแลสุขภาพของแม่ได้อีกด้วย
สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ ที่ไม่เคยได้รับยารักษาเอชไอวี
หากอยู่ในช่วงไตรมาสแรก แพทย์จะพิจารณาว่าควรเริ่มการรักษาเอชไอวีได้หรือไม่ ดังนี้
อาการคลื่นไส้อาเจียนอาจทำให้ยากต่อการรับประทานยาต้านไวรัสเอชไอวีตั้งแต่เนิ่นๆ ในระหว่างตั้งครรภ์
เป็นไปได้ว่ายาอาจส่งผลต่อลูกน้อยของคุณ แพทย์จะสั่งยาที่ปลอดภัยสำหรับใช้ระหว่างตั้งครรภ์
โดยทั่วไปเชื้อเอชไอวีจะแพร่เชื้อไปยังทารกในช่วงปลายการตั้งครรภ์ หรือระหว่างการคลอดบุตร เอชไอวีสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ของการตั้งครรภ์หากตรวจพบปริมาณไวรัสได้
ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการรักษาจะได้ผลดีที่สุดในการป้องกันเอชไอวีในทารก หากเริ่มก่อนตั้งครรภ์ หรือโดยเร็วที่สุดในระหว่างตั้งครรภ์
สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ ที่กำลังใช้ยารักษาเอชไอวี
หากอยู่ในช่วงไตรมาสแรกให้ปรึกษาแพทย์ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามแผนการรักษาปัจจุบันของคุณ ดังนี้
จะทำการรักษาเอชไอวีต่อ หรือหยุดการรักษาเอชไอวีในช่วงไตรมาสแรก เพราะการหยุดยารักษาเอชไอวี อาจทำให้ปริมาณไวรัสของคุณเพิ่มขึ้น หากปริมาณไวรัสของคุณเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงในการติดเชื้อก็เพิ่มขึ้นด้วย และอาจทำให้เกิดปัญหากับทารกในครรภ์ ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ
ดูว่ายาต้านไวรัสเอชไอวี มีผลกระทบอย่างไรบ้างต่อทารกในครรภ์
ดูว่ามีความเสี่ยงต่อการดื้อยาหรือไม่ เพราะหากยาต้านไวรัสเอชไอวีที่รับประทานไม่สามารถต้านเชื้อเอชไอวีได้อีกต่อไป ก็จะส่งผลต่อหญิงตั้งครรภ์ และทารกในครรภ์ได้ ดังนั้น อย่าหยุดรับประทานยาต้านไวรัสเอชไอวโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ก่อน
ยารักษาเอชไอวี ปลอดภัยที่จะใช้ในระหว่างตั้งครรภ์หรือไม่?
ยารักษาเอชไอวีส่วนใหญ่มีความปลอดภัยที่จะใช้ในระหว่างการตั้งครรภ์ โดยทั่วไปยารักษาเอชไอวีไม่ได้มีผลทำให้เกิดความเสี่ยงที่ทารกจะพิการแต่กำเนิด
หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวี ควรเริ่มรับประทานยารักษาเอชไอวีเมื่อใด?
หญิงมีครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวีทุกคน ควรเริ่มรับประทานยารักษาเอชไอวีโดยเร็วที่สุดในระหว่างตั้งครรภ์ ในกรณีส่วนใหญ่ผู้หญิงที่ติดเชื้อเอชไอวีก็จะมีแผนการรักษาเอชไอวีอยู่แล้ว เมื่อมีการตั้งครรภ์ก็ควรใช้แผนการรักษาเดิมต่อไปตลอดการตั้งครรภ์
การผ่าตัดคลอดสามารถลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อเอชไอวีได้หรือไม่?
การผ่าตัดคลอด สามารถลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกได้ โดยจะแนะนำให้ทำการผ่าตัดคลอดก่อนกำหนดเวลา เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก
สรุปวิธีการดูแลหญิงตั้งครรภ์เพื่อลดการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก เพื่อให้การดูแลอย่างครอบคลุม และต่อเนื่อง มีดังนี้
ฝากครรภ์โดยเร็วก่อน 12 สัปดาห์ เพื่อได้รับการดูแลสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์ และลูกในครรภ์
รับการปรึกษาพร้อมสามี เพื่อตรวจหาโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี
หากหญิงตั้งครรภ์ และคู่มีผลการตรวจเลือดเอชไอวีเป็นบวก จะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมโดยหญิงตั้งครรภ์จะได้รับยาต้านไวรัสที่มีฤทธิ์ประสิทธิภาพสูง (HAART) เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก
เด็กที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวีจะได้รับยาต้านไวรัสที่มีฤทธิ์ประสิทธิภาพสูง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และได้รับนมผสมเพื่อทดแทนนมแม่นานถึง 18 เดือน
Comentarios