top of page
Siri Writer

ความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส HPV ของ LGBTQ

Updated: May 17, 2024

ไวรัส Human Papillomavirus (HPV) เป็นไวรัสที่แพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ และเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคมะเร็งในส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น โรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งช่องปาก และโรคมะเร็งทวารหนัก รวมถึงโรคหูดหงอนไก่ โดยเฉพาะกลุ่ม LGBTQ+ (เลสเบี้ยน เกย์ ไบเซ็กชวล ทรานส์เจนเดอร์ และเควียร์)  ที่มีพฤติกรรม และปัจจัยอื่นๆ อีกหลายประการ ทำให้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส HPV ของ LGBTQ มีมากว่าคนกลุ่มอื่น

 ภาพแสดงข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส HPV ในกลุ่ม LGBTQ พร้อมวิธีการป้องกันและการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม
ความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส HPV ของ LGBTQ

โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV ในกลุ่ม LGBTQ มีดังนี้

  • โรคหูดที่อวัยวะเพศ (Genital warts) หรือ หูดหงอนไก่  เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งระหว่างอวัยวะเพศชายกับช่องคลอด อวัยวะเพศชายกับทวารหนัก และทางช่องคลอดกับช่องคลอด รวมไปถึงการทำออรัลเซ็กส์จากผู้ที่ติดเชื้อไวรัส HPV ด้วย

  • โรคมะเร็งทวารหนัก (Anal Cancer) ส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ที่ 16 และ 18 รวมถึงปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น การสูบบุหรี่หนัก มีประวัติเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก เปลี่ยนคู่นอนบ่อย และการมีเพศสัมพันธ์ผ่านทางทวารหนักโดยไม่ป้องกัน

  • โรคมะเร็งปากมดลูก (Cervical Cancer) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV ชนิดก่อมะเร็ง มี 14 สายพันธุ์ ทําให้เป็นโรคร้ายมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด โดยสายพันธุ์ 16 และ 18 เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกถึงประมาณร้อยละ 70 รองลงมาคือ สายพันธุ์ 45, 31 และ 33

  • โรคมะเร็งช่องปาก (Oral Cancer) เป็นอีกหนึ่งโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV ด้วยการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก หรือการทำ Oral Sex โดยอาการของโรคมะเร็งช่องปาก และลำคอ คือ มีอาการเจ็บคอเป็นเวลานาน ปวดหู เสียงแหบ ต่อมน้ำเหลืองบวม และน้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ


ความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส HPV ของ LGBTQ 

หลายคนมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นเชื้อที่ติดต่อได้เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว HPV เป็นเชื้อที่ไม่เลือกเพศ และทุกคนสามารถติดเชื้อได้เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย หรือกลุ่ม LGBTQ เช่น

ความเสี่ยงในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM)

ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ HPV โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งทวารหนัก การศึกษาพบว่าความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV ในกลุ่ม MSM สูงกว่าคนปกติทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยที่ทำให้ความเสี่ยงสูงขึ้นรวมถึง

  • การมีคู่นอนหลายคน

  • การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย

  • การไม่เข้าถึงการฉีดวัคซีน HPV อย่างแพร่หลาย

ความเสี่ยงในกลุ่มหญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับหญิง (WSW)

แม้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับหญิง (WSW) จะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV ต่ำกว่ากลุ่มอื่นๆ แต่ก็ไม่ปลอดภัยจากความเสี่ยงนี้ การสัมผัสทางเพศโดยตรง เช่น การใช้ของเล่นทางเพศร่วมกัน หรือการสัมผัสทางช่องคลอด สามารถเป็นช่องทางการติดเชื้อได้เช่นกัน

ความเสี่ยงในกลุ่มคนข้ามเพศ (Transgender Individuals)

คนข้ามเพศ (Transgender) มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV ที่แตกต่างกันไปตามการปฏิบัติทางเพศ และการเข้าถึงบริการสุขภาพ การศึกษาชี้ให้เห็นว่าคนข้ามเพศที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย หรือหญิงมีความเสี่ยงใกล้เคียงกับกลุ่ม MSM หรือ WSW ทั้งนี้การเข้าถึงการตรวจคัดกรอง และวัคซีนยังเป็นปัญหาหลักในกลุ่มนี้

ภาพแสดงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้กลุ่ม LGBTQ+ ติดเชื้อ HPV เพิ่มสูงขึ้น เช่น การมีเพศสัมพันธ์กับหลายคน ขาดการตรวจสุขภาพประจำ การใช้สารเสพติด และปัจจัยทางสุขภาพจิต
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ LGBTQ+ ติดเชื้อ HPV เพิ่มสูงขึ้น

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ LGBTQ+ ติดเชื้อ HPV เพิ่มสูงขึ้น

  • การมีเพศสัมพันธ์กับหลายคน  โดยการมีคู่นอนหลายคน และการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ HPV อย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มชายรักชาย (MSM) ที่มักมีอัตราการติดเชื้อ HPV สูงกว่าเนื่องจากพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงกว่า

  • ขาดการตรวจสุขภาพเป็นประจำ เนื่องด้วยกลุ่ม LGBTQ+ บางส่วนอาจไม่เข้าถึงการบริการสุขภาพอย่างเหมาะสม หรือไม่ได้รับการแนะนำในการตรวจคัดกรอง HPV อย่างสม่ำเสมอ ทำให้ความเสี่ยงในการติดเชื้อและการพัฒนาไปสู่มะเร็งเพิ่มขึ้น

  • การใช้สารเสพติด มาจากการใช้สารเสพติด และการดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV

  • ปัจจัยทางสุขภาพจิต เช่น ความเครียด และภาวะสุขภาพจิตที่ไม่ดี สามารถส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV สูงขึ้น


การตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัส HPV 

  • กรณีที่เป็นผู้หญิง สามารถตรวจได้ด้วยวิธีแป๊บสเมียร์ (Pap Smear) ลิควิดเบส (Liquid Base) และ HPV DNA Test ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นการเก็บตัวอย่างเซลล์บริเวณปากมดลูกไปส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • กรณีที่เป็นผู้ชาย การตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัส HPV จะมีวิธีการตรวจเหมือนกับผู้หญิงเลย เพียงแต่ว่าผู้ชายจะเก็บตัวอย่างเซลล์จากบริเวณองคชาต หรือปากทวารหนักแทน

ภาพแสดงวิธีการป้องกันและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV เช่น การฉีดวัคซีน HPV การใช้ถุงยางอนามัย การตรวจสุขภาพประจำ และการดูแลสุขภาพจิต
การป้องกัน และลดความเสี่ยง

การป้องกัน และลดความเสี่ยง

การป้องกัน และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV ในกลุ่ม LGBTQ สามารถทำได้ดังนี้

  • การฉีดวัคซีน HPV  ถือเป็นวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ และการเกิดมะเร็งที่เกี่ยวข้อง การฉีดวัคซีนควรเริ่มตั้งแต่อายุ 9-12 ปี แต่สามารถฉีดได้จนถึงอายุ 26 ปี หรือมากกว่านั้นในบางกรณี

  • การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ สามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกันได้ 100% ก็ตาม

  • การตรวจสุขภาพ และคัดกรองเป็นประจำ เช่น การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก และการตรวจหาเชื้อ HPV เป็นประจำ สามารถช่วยในการตรวจพบเชื้อในระยะเริ่มต้น และป้องกันการพัฒนาของมะเร็งได้

  • การสนับสนุนด้านสุขภาพจิต เช่น การให้คำปรึกษา และการดูแลสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่อง สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV ได้


การป้องกัน และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส HPV ในกลุ่ม LGBTQ+ จำเป็นต้องใช้มาตรการที่หลากหลายและครอบคลุม ตั้งแต่การฉีดวัคซีน การใช้ถุงยางอนามัย การตรวจสุขภาพประจำ และการดูแลสุขภาพจิต การให้ความรู้และการสนับสนุนจากชุมชนและบุคลากรทางการแพทย์เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้กลุ่ม LGBTQ+ สามารถป้องกันตนเองจากความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV และมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว


Comments


bottom of page