โรคฝีมะม่วง เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบ หรือติดเชื้อบริเวณอวัยวะเพศ รวมทั้ง อาการเลือดคั่งบริเวณอวัยวะเพศ ต่อมน้ำเหลืองโตที่ขาหนีบ ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดบวม และเดินลำบาก หากรู้สึกว่ามีอาการเจ็บปวดบริเวณอวัยวะเพศควรไปพบในทันที โรคนี้มักไม่เกิดในเพศหญิง เพราะในเพศหญิงจะมีการระบายน้ำเหลืองจากอวัยวะสืบพันธุ์ไปที่ต่อมน้ำเหลืองภายในท้องน้อย มากกว่ามาที่ขาหนีบ และเมื่อติดเชื้อจะทำให้เกิดเป็นโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบมากกว่า และปัจจุบันโรคฝีมะม่วงมีแนวโน้มของการเกิดมากขึ้น โดยมักพบมากในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ผู้ป่วยหาย และใช้ชีวิตได้ตามปกติ
โรคฝีมะม่วง คืออะไร?
โรคฝีมะม่วง (Lymphogranuloma Venereum: LGV) หรือ กามโรคต่อมน้ำเหลือง หรือกามโรคท่อน้ำเหลือง คือ การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เมื่อเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้เข้าสู่ผิวหนัง จะเกิดแผลที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก และต่อมน้ำเหลืองโตที่ต้นขาข้างใดข้างหนึ่ง หรือที่ขาหนีบ โดยจะเกิดตุ่ม หรือแผลขนาดเล็กที่อวัยวะเพศก่อน จากนั้นต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบจะอักเสบ ทำให้เกิดอาการปวดบวม และเดินลำบาก
หากรูทวารอักเสบหรือมีแผล จะรู้สึกปวดบริเวณก้นตลอดเวลา อาจถ่ายไม่ออกหรือท้องร่วง หรือรูทวารตีบตันได้ ส่วนผู้หญิงที่ป่วยเป็นฝีมะม่วงจะทำให้อุ้งเชิงกรานอักเสบ ส่งผลให้ท้องนอกมดลูกได้ หรือปวดท้องน้อยเรื้อรัง รวมทั้งภาวะมีบุตรยาก
สาเหตุโรคฝีมะม่วง
สาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรียคลามีเดีย ทราโคมาติส (Chlamydia Trachomatis) ที่แตกต่างกันถึง 3 ชนิด คือ ชนิด L1, L2, L3 และไม่ใช่เชื้อแบคทีเรีย ชนิดที่ทำให้เกิดโรคหนองในเทียม เป็นการติดเชื้อของระบบน้ำเหลืองในร่างกาย สามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทั้งทางปาก ทวารหนัก และช่องคลอด หรือสัมผัสถูกหนองของฝีมะม่วงโดยตรง ทำให้เกิดแผลขนาดเล็ก ไม่เจ็บ ที่อวัยวะเพศก่อน เพราะไม่เจ็บ บางครั้งผู้ป่วยจึงไม่สังเกตเห็น ต่อมาจะทำให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ ทำให้เกิดอาการปวดบวม เดินลำบาก เรียกตามภาษาทั่วไปว่า ไข่ดันบวม โดยระยะฟักตัวของโรค ประมาณ 3-30 วันส่วนมากจะใช้เวลา 7-10 วันหลังจากการสัมผัสเชื้อ โดยการเกิดแผลมักเกิดในช่วง 3-10 วันหลังสัมผัสเชื้อ ส่วนการอักเสบของต่อมน้ำเหลืองมักเกิดประมาณ 10-30 วันหลังสัมผัสเชื้อ
ใครที่มีความเสี่ยงติดเชื้อฝีมะม่วง
โดยมีปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อฝีมะม่วง ดังนี้
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคน
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ โดยให้คู่นอนสอดใส่ทางทวารหนัก หรือการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย
ผู้ที่ทำออรัลเซ็กซ์เมื่อมีเพศสัมพันธ์
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ขายบริการทางเพศ
ผู้ที่ใช้น้ำยาสวนทวารหนัก
ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี
ผู้ที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
อาการโรคฝีมะม่วง
อาการโรคฝีมะม่วง แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 ระยะแผล (Primary LGV )
ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อฝีมะม่วงจะแสดงอาการของโรคภายใน 3 สัปดาห์หลังติดเชื้อ โดยจะแสดงอาการ ดังนี้
มีตุ่มนูนเล็ก ๆ ตุ่มใส ขึ้นมา หรือเป็นแผลขนาดเล็ก ตื้น ๆ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวด บริเวณอวัยวะเพศก่อน หรืออาจเกิดขึ้นที่อัณฑะหรือทวารหนักก็ได้
มีแผลเปื่อยขึ้นมา และหายไปเองภายใน 2-3 วัน
อาจเกิดอาการป่วยคล้ายโรคท่อปัสสาวะอักเสบ
ผู้ชายอาจได้รับผลกระทบจากการติดเชื้อที่อวัยวะสืบพันธุ์ รวมทั้งหลอดน้ำเหลืองที่องคชาตอักเสบทำให้อวัยะวะเพศแข็งเป็นลำ
ผู้หญิงอาจได้รับผลกระทบจากการติดเชื้อที่ผนังด้านหลังมดลูกหรือปากช่องคลอด
บริเวณต่อมน้ำเหลืองมีก้อนนุ่ม ๆ นูนขึ้นมา ซึ่งทำให้เกิดอาการบวม
ผู้ที่ทำออรัลเซ็กซ์อาจเกิดการติดเชื้อที่ปากร่วมด้วย
ระยะที่ 2 ระยะฝี (Secondary LGV)
เมื่อได้รับเชื้อแล้ว อาการของโรคจะปรากฏประมาณ 10-13 วัน และอาจกำเริบรุนแรงขึ้น ซึ่งใช้เวลานานหลายเดือน โดยจะแสดงอาการ ดังนี้
เกิดฝีมะม่วงซึ่งเป็นก้อนนุ่มสีใสขนาดใหญ่ที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ เริ่มมีอาการบวมและปวดจนอาจเดินไม่ได้ (เรียกตามภาษาทั่วไปว่า ไข่ดันบวม) ตรงกลางจะเป็นร่องของพังผืดคล้ายร่องของมะม่วงอกร่อง จึงเรียกโรคนี้ว่า ฝีมะม่วง ซึ่งอาจเป็นที่ขาหนีบข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้างก็ได้
ผิวหนังบริเวณที่เป็นฝีจะมีอาการอักเสบ มีลักษณะบวม แดง ร้อนร่วมด้วย
ผู้หญิงที่ติดเชื้อจะมีอาการปวดท้องน้อยหรือปวดหลังส่วนล่าง เนื่องจากต่อมน้ำเหลืองที่โตเป็นส่วนที่อยู่ในช่องท้อง
อาจมีไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ง่วงซึม เบื่ออาหาร และปวดตามข้อ
ผู้ที่ปากติดเชื้อ อาจทำให้ต่อมน้ำลายและต่อมน้ำเหลืองตรงกระดูกสันหลังคอได้รับผลกระทบจากการติดเชื้อ
เกิดผื่นแดงและมีไข้ รวมทั้งมีตุ่มแข็งขนาดใหญ่ขึ้นที่ผิวหนัง
อาจประสบภาวะเยื่อตาอักเสบ ตับโต เยื่อหุ้มสมองและสมองอักเสบ เยื่อบุหัวใจอักเสบ ปอดบวม หรือข้ออักเสบ
ถ้าไม่ได้รับการรักษา ฝีอาจยุบหายไปได้เองภายใน 2-3 สัปดาห์ หรือเป็นเดือน แต่บางรายฝีอาจแตกเป็นรูหลายรูและมีหนองไหลจนกลายเป็นแผลเรื้อรังได้
ระยะที่ 3 ระยะแผลเป็นหดรัด (Tertiary LGV)
ในระยะนี้จะปรากฏอาการของโรคหลังจากติดเชื้อไปแล้วประมาณหลายเดือน หรือนานจนถึง 20 ปี โดยจะแสดงอาการ ดังนี้
เกิดเนื้อเยื่อแผลเป็น ซึ่งอาจไปรัดท่อนํ้าเหลืองจนตันและเกิดการบวมนํ้าของอวัยวะเพศ ในหรือไปรัดลำไส้ทำให้ปวดเบ่ง อุจจาระลำเล็กลง
มักเกิดอาการอักเสบที่ลำไส้ใหญ่ และลำไส้ตรง
อาจรู้สึกคันทวารหนัก และมีเลือดกับมูกปนหนองออกมา ทั้งนี้ อาจรู้สึกที่ก้น ปวดเบ่งที่ลำไส้ตรงเหมือนจะถ่ายหนักตลอดเวลา มีหนอง และเลือดไหลออกทางรูทวาร
ทำให้ท้องผูก และน้ำหนักลด
อาจมีการตีบตันของทวารหนักหรือทวารหนักมีก้อนเหมือนริดสีดวง
การอักเสบเรื้อรังของโรคอาจทำให้เกิดฝี ท่อน้ำเหลืองอุดตัน ลำไส้ตรงผิดรูป เกิดความพิการ และลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรงติดเชื้อ
เกิดแผลลุกลามซึ่งส่งผลให้อวัยวะสืบพันธุ์ผิดปกติ
ในผู้หญิงที่เป็นโรคนี้แม้จะมองไม่เห็นต่อมน้ำเหลืองโตในระยะฝี แต่นานไปก็จะเกิดเนื้อเยื่อแผลเป็นรอบ ๆ ช่องคลอดและทวารหนักเช่นกัน มีผลให้เกิดการตีบแคบของช่องคลอดและทวารหนัก หรือมีการอุดตันของท่อนํ้าเหลืองจนทำให้อวัยวะเพศขยายใหญ่ได้เช่นเดียวกับในผู้ชาย และอาจลุกลาม เกิดการอักเสบของทวารหนักจนตีบตัน และถ่ายอุจจาระไม่ออกได้ ซึ่งมักพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
ปัจจุบันโรคนี้มีแนวโน้มของการเกิดสูงขึ้น โดยเฉพาะในผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกันและในกลุ่มที่มีการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งจะทำให้เกิดการอักเสบของช่องทวารหนักอย่างมาก (Ulcerative proctitis) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดก้น อยากถ่ายอุจจาระตลอดเวลา มีหนองไหลทางรูทวาร และมีเลือดออกทางทวารหนักได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคฝีมะม่วง
ผู้ป่วยโรคฝีมะม่วงอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคได้ ซึ่งจะเกิดขึ้นเป็นเวลานานหลายปีหลังติดเชื้อครั้งแรก หากไม่รักษาหรือไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ดังนี้
เกิดโรคฝีคัณฑสูตร (Fistula) เกิดความเสียหายเป็นรูขึ้น บริเวณทวารหนักตรงจุดที่เชื่อมต่อระหว่างลำไส้ตรงกับช่องคลอด หรือแผลเป็นขนาดใหญ่ที่บริเวณขาหนีบ
ในผู้ชาย ประสบภาวะองคชาตมีพังผืด หรือองคชาตมีลักษณะผิดรูป
ในผู้หญิง ทำให้เกิดการอักเสบบริเวณอวัยวะเพศ ปากมดลูกอักเสบ หรือท่อนำไข่อักเสบ หรือเกิดการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน ซึ่งส่งผลให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก เกิดอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง และภาวะมีบุตรยาก
ประสบภาวะสมองอักเสบ
เกิดการอักเสบที่สมอง ข้อต่อ ดวงตา หัวใจ หรือตับ รวมทั้งป่วยเป็นปวดบวม
มีอาการบวมของอวัยวะเพศภายนอก และเกิดการอักเสบเรื้อรัง จากการอุดกั้นของทางเดินน้ำเหลืองในบริเวณอวัยวะเพศ เช่น อัณฑะบวม ปากช่องคลอดบวม
ลำไส้ตรงเกิดแผลและตีบเข้า ส่งผลให้ลำไส้อุดตันหรือตีบตัน
ประสบภาวะตับโต
การวินิจฉัยโรคฝีมะม่วง
แพทย์จะตรวจร่างกาย รวมทั้งซักประวัติการรักษาและการมีเพศสัมพันธ์ของผู้ป่วย การตรวจร่างกายจะช่วยวินิจฉัยความผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย ดังนี้
แพทย์อาจดูจากลักษณะของแผลเพื่อวินิจฉัยแยกโรคจากแผลของโรคเริมอวัยวะเพศ แผลของโรคซิฟิลิส โรคแผลริมอ่อน แต่บางครั้งแผลที่อวัยวะเพศอาจหายไปแล้วและคงเหลือเฉพาะก้อนที่ขาหนีบ ลักษณะบวมโต ผู้ป่วยจะมีอาการปวดบวม ถ้ากดจะรู้สึกเจ็บมาก
เกิดฝีและมีหนองไหลซึมออกมาตรงบริเวณทวารหนัก
รู้สึกแสบร้อนที่อวัยวะสืบพันธุ์
ผิวหนังตรงขาหนีบมีของเหลวซึมออกมา
ผู้หญิงอาจเกิดอาการบวมที่ปากมดลูกและแคม
ต่อมน้ำเหลืองตรงขาหนีบบวมโต
นอกจากนี้ แพทย์อาจตรวจอย่างอื่นเพิ่มเติม เพื่อประกอบการวินิจฉัยโรค ดังนี้
ตรวจชื้นเนื้อ แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กเจาะผ่านผิวหนัง เพื่อตัดและนำตัวอย่างชิ้นเนื้อของฝีมะม่วงสารคัดหลั่งจากแผล หรือเนื้อเยื่อของลำไส้ตรง ออกไปตรวจหาเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของโรค
ตรวจเลือด แพทย์จะเจาะเลือดผู้ป่วยไปตรวจ เพื่อวินิจฉัยชนิดของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดฝีมะม่วง และอาจต้องทำการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในระยะแฝงอื่น ๆ ด้วย เช่น โรคซิฟิลิส โรคเอดส์ เป็นต้น
ทำซีทีสแกน แพทย์จะทำซีทีสแกนผู้ป่วย เพื่อตรวจดูระดับของภาวะต่อมน้ำเหลืองโตที่เกิดขึ้น รวมทั้งหาสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดอาการของโรค
ส่องกล้องตรวจลำไส้ แพทย์จะส่องกล้อง เพื่อตรวจและวินิจฉัยความผิดปกติที่ส่งผลให้เกิดอาการป่วยที่ลำไส้
การรักษาโรคฝีมะม่วง
การติดเชื้อโรคฝีมะม่วงสามารถรักษาได้ โดยวิธีรักษาด้วยยา และการผ่าตัด ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
การรักษาด้วยยา
แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะแก่ผู้ป่วยโรคฝีมะม่วง เพื่อใช้รักษาการติดเชื้อ และป้องกันเชื้อแบคทีเรียทำลายเนื้อเยื่อส่วนอื่น โดยยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาโรคฝีมะม่วง ประกอบด้วย
ดอกซีไซคลิน (Doxycycline) ผู้ป่วยมักได้รับการรักษาด้วยยานี้เป็นอันดับแรก โดยแพทย์จะให้ผู้ป่วยรับประทานยาดอกซีไซคลินวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 100 มิลลิกรัม เป็นเวลา 21 วัน
อะซิโธรมัยซิน (Azithromycin) ยานี้เป็นยารักษาโรคฝีมะม่วงอีกชนิดที่แพทย์ใช้รักษาผู้ป่วย โดยแพทย์จะให้ผู้ป่วยใช้ยาอะซิโธรมัยซินปริมาณ 2 กรัม เป็นเวลา 20 วัน
ถ้าฝียังไม่ยุบ และมีลักษณะนุ่ม แพทย์อาจใช้เข็มฆ่าเชื้อเบอร์ 16-18 ต่อเข้ากับกระบอกฉีดยา แล้วทำการเจาะดูดเอาหนองออก (แพทย์มักไม่ผ่าฝีมะม่วงให้เป็นแผลยาว ๆ เพราะจะทำให้แผลหายช้า อาจทำให้เกิดเป็นรอยทะลุที่มีหนองไหลตลอดเวลา (Fistula) หรืออาจทำให้มีการอุดกั้นของทางเดินน้ำเหลืองในบริเวณนั้นได้)
การผ่าตัด
ผู้ป่วยฝีมะม่วงที่เกิดก้อนฝี หรือต่อมน้ำเหลืองบวมโต แพทย์จะทำการเจาะเอาของเหลวบริเวณฝีออกมา เพื่อให้อาการของโรคฝีมะม่วงทุเลาลง
ในกรณีที่ผู้ป่วยบางรายมีอาการลำไส้ตรงตีบ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ อย่างรุนแรง จำเป็นที่จะต้องได้รับการผ่าตัด
การรักษาแบบประคบฝี
ประคบอุ่นบริเวณที่ปวด บวม แดง โดยใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นจัด ๆ บิดผ้าให้แห้ง แล้ววางลงบนตำแหน่งที่มีอาการปวดครั้งละประมาณ 10-15 นาที และทำซ้ำทุกๆ 8 ชม
หมั่นดูแลรักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศและขาหนีบ หรือถ้าฝีแตกแล้วก็ให้รักษาความสะอาดบริเวณนั้นให้ดี
นอกจากนี้ หลังได้รับการรักษาแล้ว ผู้ป่วยควรงดการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยจนกว่าจะหายดี รวมทั้งควรมาพบแพทย์เพื่อติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอจนกว่าอาการของการติดเชื้อจะหายเป็นปกติ
โรคนี้สามารถรักษาให้หายได้ในคนทั่วไปที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายปกติ แต่ในคนที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคผิดปกติ เช่น เป็นโรคเอดส์ ก็จะมีแนวโน้มการติดเชื้อซ้ำ หรือรักษาแล้วไม่หายขาด อาจต้องเปลี่ยนชนิดของยาปฏิชีวนะ โดยการตรวจเพาะเชื้อเพื่อหาการตอบสนองของโรคต่อยาปฏิชีวนะชนิดต่าง ๆ
การป้องกันโรคฝีมะม่วง
สวมถุงยางอนามัยป้องกันทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์.
เลี่ยงการสัมผัสผิวหนัง แผล หรือสารคัดหลั่งที่บริเวณอวัยวะเพศ
ควรตรวจร่างกายของตนเองและคู่นอนให้มั่นใจว่าปลอดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ
เลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสารเสพติดอื่น ๆ เนื่องจากการใช้สารเสพติดหรือดื่มเครื่องดื่มมึนเมาจะทำให้ขาดสติ ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่เสี่ยงติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ง่าย เช่น ลืมใส่ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์
ควรรักษาความสะอาดของอวัยวะเพศ (ฟอกล้างด้วยสบู่) หลังการร่วมเพศทันทีทุกครั้ง (การดื่มน้ำก่อนร่วมเพศและถ่ายปัสสาวะทันทีหลังร่วมเพศ หรือการฟอกสบู่ทันทีหลังร่วมเพศ อาจช่วยลดการติดเชื้อลงได้บ้าง แต่ไม่ใช่ว่าจะได้ผลทุกราย)
หมั่นออกกำลังกาย และรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วยการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
โรคฝีมะม่วงเป็นโรคที่มีความสัมพันธ์กับโรคติดต่อทางเพศได้หลายๆ โรค เช่น โรคเอดส์ โรคหนองใน และโรคซิฟิลิส ซึ่งโรคฝีมะม่วงเป็นโรคที่สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ และการรับการรักษาทันที เมื่อมีอาการหรือมีความเสี่ยง เพื่อป้องกันการพัฒนาของโรคที่ทำให้เกิดอาการของโรคที่รุนแรง และลดโอกาสของการติดเชื้อใหม่ในอนาคต รวมถึงการป้องกันการแพร่เชื้อโรคไปยังผู้อื่นได้
Comments