top of page
Siri Writer

เรียนรู้การป้องกันอันตรายจากโรคหูดข้าวสุก

Updated: Jan 4, 2024

โรคหูดข้าวสุกเป็นโรคที่ไม่รุนแรง เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และติดต่อจากคนสู่คนได้ ผ่านทางการสัมผัส หรือการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งผู้ติดเชื้อสามารถหายเองได้ภายใน 6–12 เดือนโดยไม่ต้องรับการรักษา แต่บางรายอาจกินเวลานานกว่านั้น การเข้ารับการรักษาจะช่วยป้องกันการกระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ โดยเฉพาะคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ดังนั้นการเรียนรู้การป้องกันอันตรายจากโรคหูดข้าวสุกจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อที่ทุกคนจะได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับโรค การปฏิบัติตนเมื่อเกิดการติดเชื้อ และการป้องกันอันตรายจากโรค เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่แข็งแรง และปลอดภัย

ภาพรวมเกี่ยวกับเรื่องการป้องกันอันตรายจากโรคหูดข้าวสุก: เรียนรู้และปฏิบัติ
เรียนรู้การป้องกันอันตรายจากโรคหูดข้าวสุก

โรคหูดข้าวสุก คืออะไร?

โรคหูดข้าวสุก (Molluscum Contagiosum) คือ การติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดตุ่มเนื้อ และมีรอยนูนขนาดเล็กบนผิวหนังชั้นนอกทั่วร่างกาย ยกเว้นฝ่ามือและฝ่าเท้า   โดยโรคหูดข้าวสุก เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังที่สามารถส่งต่อไปยังบุคคลอื่นได้ ผ่านทางการสัมผัส หรือการมีเพศสัมพันธ์ ส่วนมากมักเกิดขึ้นกับผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ และยิ่งในสภาพอากาศที่ร้อนชื้นเชื้อไวรัสชนิดนี้จะยิ่งเติบโตได้ดี จึงมีโอกาสจะเกิดอาการแทรกซ้อนได้ง่ายขึ้น


สาเหตุโรคหูดข้าวสุก

สาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสมอลลัสคุม คอนทาจิโอซุม (Molluscum Contagiosum Virus) เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่อยู่ในกลุ่มพอกซ์ไวรัส (Poxvirus) มักเกิดขึ้นบริเวณชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ที่เป็นผิวหนังชั้นนอกเท่านั้น โดยมีการแพร่เชื้อผ่านการสัมผัสโดนบริเวณที่มีเชื้อโดยตรง หรือสิ่งของที่มีการปนเปื้อน รวมไปถึงการสัมผัสถูกเชื้อขณะมีเพศสัมพันธ์ จึงถือว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Disease: STD) ได้เช่นกัน  และเมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้ว เชื้อสามารถแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่น ๆ ของร่างกายได้ โดยการสัมผัสส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการ) : ประมาณ 2–7 สัปดาห์ไปจนถึง 6 เดือน 


ใครที่มีความเสี่ยงติดเชื้อหูดข้าวสุก

ปัจจัยเสี่ยงหลัก คือ การสัมผัสกับรอยโรค หรือสิ่งของที่มีเชื้อหูดข้าวสุก ดังนี้

  • ผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อ

  • ผู้ที่ใช้สิ่งของส่วนตัวรวมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า เสื้อผ้า รองเท้า

  • ผู้ที่มีการสัมผัสบริเวณที่มีเชื้อโดยตรงกับร่างกายของผู้ติดเชื้อ

  • ผู้สัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ

  • ผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง  หรือโรคผิวหนังอื่น ๆ ที่เป็นผื่นแล้วต้องเกาบ่อย ๆ

  • ผู้ที่อยู่อาศัยในโซนเขตร้อน

  • ผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ 

ภาพรวมของอาการโรคหูดข้าวสุก: สัญญาณและลักษณะที่ควรรู้
อาการโรคหูดข้าวสุก

อาการโรคหูดข้าวสุก 

ผู้ที่ได้รับเชื้อจะพบตุ่มเนื้อเกิดขึ้นบริเวณผิวหนัง อาจจะเป็นตุ่มเดียวหรือหลาย ๆ ตุ่ม อยู่บริเวณเดียวกัน ตุ่มหูดข้าวสุกนี้จะไม่มีอาการเจ็บ โดยจะมีลักษณะดังนี้

  • ตุ่มมีขนาดเล็กประมาณ 2–5 มิลลิเมตร ผิวสัมผัสมีความเงาและเรียบ 

  • เป็นตุ่มสีเนื้อที่ผิวหนัง ไม่มีอาการคันหรือเจ็บ 

  • ตุ่มมีสีเนื้อเช่นเดียวกับผิวหนัง มีสีขาวหรือชมพู 

  • ลักษณะเป็นตุ่มเนื้อนูนกลมที่มีรอยบุ๋มอยู่ตรงกลาง

  • ตุ่มอาจอยู่รวมกันเป็นกลุ่มหรือเรียงกันเป็นแนวยาว 

  • มีของเหลวเหนียวอยู่ภายในตุ่มเนื้อ ถ้าสะกิดและกดตุ่มออกจะได้เนื้อสีขาวขุ่นคล้ายข้าวสุก 

  • ตุ่มเนื้อของผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแออาจจะมีขนาดใหญ่ถึง 15 มิลลิเมตร

  • สามารถเกิดได้ทุกบริเวณของร่างกาย แต่จะไม่เกิดบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า มักพบบริเวณใบหน้า ท้อง ลำตัว แขน ขา อวัยวะเพศ ต้นขาด้านใน ผิวหนังที่สัมผัสหรือเสียดสีกันบ่อยอย่างข้อพับ 

  • ในรายที่เป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง อาจมีอาการผื่นแดงคันบริเวณหูดข้าวสุกร่วมด้วย ซึ่งอาการผื่นแดงคันนี้ จะหายไปเมื่อทำการรักษาหูดข้าวสุก

  • ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือเป็นโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อระบบคุ้มกันภายในร่างกายอาจทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น ตุ่มเหล่านี้อาจขยายใหญ่ได้ถึง 15 มิลลิเมตร และอาจทำการรักษาได้ยากมากขึ้น

  • ในผู้ป่วยโรคเอดส์ ปริมาณของหูดข้าวสุก จะเกิดมากกว่าในคนที่ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคปกติ และมักดื้อต่อการรักษา

  • โดยปกติ (คนที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคปกติ) หูดข้าวสุกนั้น สามารถหายได้เองแม้ไม่ได้ทำการรักษาที่ระยะเวลาประมาณ 2-9 เดือน มีส่วนน้อยมากที่อาศัยเวลา 2-3 ปีจึงหาย


ภาวะแทรกซ้อนของโรคหูดข้าวสุก 

  • หากมีการแกะหรือขูดรอยโรคด้วยตนเองซึ่งอาจทำให้แผลเกิดการติดเชื้อหรือแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นได้ง่าย 

  • หากผู้ติดเชื้อมีอาการของโรคภูมิแพ้ทางผิวหนังอยู่แล้ว อาจทำให้เกิดผื่นแดงและมีอาการคันร่วมด้วยได้ หรือหากตุ่มหูดข้าวสุกขึ้นรอยโรคบริเวณเปลือกตา อาจส่งผลให้เกิดเยื่อตาอักเสบร่วมด้วย

  • ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคหูดข้าวสุกแล้วหนึ่งครั้ง ก็สามารถติดเชื้อไวรัสนี้ซ้ำได้อีก 

ภาพรวมของการรักษาโรคหูดข้าวสุก: วิธีและขั้นตอนการรักษาโรคหูดข้าวสุก
การรักษาโรคหูดข้าวสุก

การวินิจฉัยโรคหูดข้าวสุก 

แพทย์จะวินิจฉัยโรคเบื้องต้นด้วยการซักถามประวัติ ลักษณะอาการของโรค และการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการร่วมด้วย เพื่อยืนยันการติดเชื้อได้แม่นยำมากขึ้น เช่น 

  • ตรวจดูบริเวณผิวหนังที่มีการติดเชื้อด้วยกล้องจุลทรรศน์ 

  • การขูดผิวหนัง (Skin Scraping) 

  • การเก็บตัวอย่างจากบริเวณรอยโรคอย่างชัดเจนไปตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ (Biopsy) 

ในกรณีที่มีการติดเชื้อบริเวณอวัยวะเพศ แพทย์อาจมีการตรวจถึงความเป็นไปได้ในการติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ อย่างโรคเริมด้วย 


การรักษาโรคหูดข้าวสุก

โดยปกติอาการของโรคหูดข้าวสุกสามารถดีขึ้นได้เองภายใน 6–12 เดือน แต่อาจมีความเป็นไปได้ในการพัฒนาของโรคให้เกิดเป็นระยะเวลานานถึง 5 ปี การรักษาทำได้หลายวิธีหรืออาจใช้หลายวิธีร่วมกัน ขึ้นอยู่กับขนาด จำนวน และตำแหน่งของหูดที่เกิดภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ ดังนี้

  • การใช้ยาทาที่มีฤทธิ์เป็นกรดเพื่อช่วยทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อ เช่น ยาทาที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) โพแทสเซียม ไฮดรอกไซด์ (Potassium Hydroxide) ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide) หรือเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) นอกจากนี้ ยังมียาในรูปแบบเจลหรือครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Retinoids) เช่น ทาซาโรทีน (Tazarotene) อะดาพาลีน (Adapalene) และเตรติโนอิน (Tretinoin) 

  • การให้ยาชนิดรับประทานจำพวก cimetidine ซึ่งเป็นยารักษาหูดข้าวสุก

  • การจี้ด้วยความเย็น (Cryotherapy, Cryosurgery) เป็นอีกรูปแบบของการใช้ไนโตรเจนเหลว (Liquid Nitrogen) ที่มีความเย็นจัดในการทำลายหูด

  • การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ (Pulsed Dye Laser Therapy) เป็นแสงเลเซอร์ชนิดที่รักษาความผิดปกติของเส้นเลือดบนผิวหนังที่นิยมใช้โดยแพทย์ผิวหนัง


สำหรับผู้ติดเชื้อที่เป็นผู้ใหญ่ แพทย์จะแนะนำให้เอาหูดออกมากกว่ารอให้หายไปเอง เพราะอาจแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องจากเชื้อเอชไอวี หรืออยู่ในช่วงการใช้ยารักษาโรคมะเร็ง จำเป็นต้องรักษาด้วยการเอาหูดออก เพราะเมื่อระบบภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่องอาจส่งผลให้อาการของโรครุนแรงมากขึ้นและรักษาได้ยากกว่าคนปกติ

ภาพรวมของการป้องกันโรคหูดข้าวสุก: แนวทางและข้อมูลที่คุณควรทราบ
การป้องกันโรคหูดข้าวสุก

การป้องกันโรคหูดข้าวสุก

การป้องกันการติดเชื้อไวรัสหูดข้าวสุกที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองสัมผัสกับผู้ที่มีเชื้อให้มากที่สุด โดยสามารถป้องกันเชื้อได้ ดังนี้

  • หมั่นล้างมือ ด้วยน้ำ และสบู่  โดยเฉพาะหลังการจับสิ่งของที่เป็นส่วนรวม จะช่วยป้องกันและการแพร่กระจายของเชื้อได้ดี ไม่เพียงแต่เฉพาะเชื้อโรคชนิดนี้ แต่ยังรวมไปถึงเชื้อโรคชนิดอื่นด้วย

  • หลีกเลี่ยงการแคะ แกะเกา หรือสัมผัสบริเวณผิวหนังของคุณที่มีตุ่มอยู่แล้ว

  • หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกัน ได้แก่ ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า หวี ที่โกนหนวด แปรงสีฟัน หรือแม้กระทั่งสบู่ก้อน

  • หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์กีฬาร่วมกัน เพราะนั่นอาจจะเป็นการสัมผัสโดยตรงกับผิวหนังของผู้อื่น

  • ทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกันเป็นประจำ โดยเฉพาะอุปกรณ์ในสถานที่ที่ใช้ร่วม กัน เช่น สถานออกกำลังกาย

  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หากมีหูดข้าวสุกบริเวณใกล้อวัยวะ เพื่อลดความเสี่ยงในการได้รับเชื้อ

  • หลีกเลี่ยงการโกนหนวดด้วยเครื่องโกนหนวดไฟฟ้าบริเวณที่ปรากฎตุ่ม

  • รักษาความสะอาดบริเวณที่เป็นตุ่มเพื่อเป็นการป้องกันตัวของคุณเองรวมถึงผู้อื่นจากการสัมผัสและการแพร่กระจายเชื้อไวรัส

  • ดูแลร่างกายให้มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง

  • ผู้ที่มีข้อสงสัยยังไม่สามารถหาคำตอบได้แน่ชัดว่าตนเป็นหูดข้าวสุกหรือไม่ สามารถเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์โรคผิวหนังได้เลย เพื่อความสบายใจทั้งสำหรับตนเองและคนรอบตัว


นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรดูแลตนเองเพื่อไม่ให้แพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่นดังนี้

  • ปกปิดบริเวณที่เป็นหูดด้วยการติดพลาสเตอร์ หรือสวมเสื้อปกคลุมให้ปิดมิดชิด เพื่อไม่ให้ตนเองแกะหรือเกา และลดโอกาสการสัมผัสกับเชื้อโดยตรงได้มากขึ้น

  • หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของสาธารณะหรือแบ่งปันของใช้ส่วนตัวรวมกับผู้อื่น 

  • หากมีเพศสัมพันธ์ควรสวมถุงยางอนามัย เพื่อลดความเสี่ยงในการได้รับเชื้อ ยกเว้นแต่เกิดหูดข้าวสุกบริเวณใกล้อวัยวะเพศที่ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์


การเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีป้องกันอันตรายจากโรคหูดข้าวสุก เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญที่จะสร้างความตระหนัก และการรับรู้ที่เข้มแข็งในเรื่องสุขภาพของเราเอง และสังคมที่เราอาศัยอยู่ การรู้เรื่องโรคหูดข้าวสุก ไม่เพียงเพื่อป้องกันตนเองจากการติดเชื้อ แต่ยังเสริมสร้างความเข้าใจในการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และป้องกันการกระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น


Comments


bottom of page