top of page
Siri Writer

คำเตือน! เกี่ยวกับโรคฝีดาษลิงอันตรายที่อาจมองข้าม

Updated: Oct 15, 2024

ปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะพบผู้ติดเชื้อโรคฝีดาษลิงเพิ่มมากขึ้น โดยพบว่ามีผู้เสียชีวิตจำนวนมากจากที่มีโรคประจำตัว เช่น มีเชื้อเอชไอวี และโรคซิฟิลิส  แล้วมาติดเชื้อโรคฝีดาษลิง หรือผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงที่ปัจจัยในการติดเชื้อโรคฝีดาษลิง คือ มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับผู้ที่ไม่ใช่คู่สมรสของตนเอง และการมีเพศสัมพันธ์แบบชายรักชาย ทั้งนี้หากผู้ป่วยมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอยู่แล้ว ยิ่งทำให้อาการมีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นหากพบความผิดปกติ เช่น มีตุ่ม ผื่น บริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือบนผิวหนังช่วงใดก็ตาม ควรรีบพบแพทย์โดยทันที 


โรคฝีดาษ และโรคฝีดาษลิง แแตกต่างกันอย่างไร?

ทั้ง 2 โรคนี้ แม้ว่าจะอยู่ในกลุ่มไวรัสเดียวกัน แต่เป็นคนละชนิด โรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษ จัดเป็นกลุ่มโรคไข้ออกผื่น กินระยะเวลานาน 2-4 สัปดาห์ เช่นเดียวกับไข้ฝีดาษลิง โดยจะเป็นไวรัส Othopoxvirus กลุ่มเดียวกัน แต่จัดเป็นคนละชนิดกัน ทั้งลักษณะการติดต่อ และความรุนแรงของโรค พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน 


เชื้อไวรัสของโรคไข้ทรพิษจะอยู่ในคนเป็นหลัก โดยจะมีการติดต่อจากคนสู่คนเท่านั้น โดยติดต่อผ่านระบบทางเดินหายใจเพียงอย่างเดียว สามารถติดต่อกันง่ายมาก โดยผ่านละอองฝอยเล็กๆ ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้อย่างเป็นวงกว้าง ซึ่งแตกต่างจากไข้ฝีดาษลิง ที่ติดต่อกันผ่านการสัมผัส โดนสามารถรติดต่อจากสัตว์สู่คน และจากคนสู่คน และพบว่าผู้ป่วยโรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษ มีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าฝีดาษลิง หากสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ได้รับเชื้อฝีดาษ อาจส่งผลถึงขั้นแท้งบุตรในครรภ์ได้

ภาพประกอบ: คำเตือน! เกี่ยวกับโรคฝีดาษลิง - อันตรายที่อาจมองข้าม ภาพแสดงความรับผิดชอบในการรักษาสุขภาพและการป้องกันการติดเชื้อโรคฝีดาษลิง
คำเตือน! เกี่ยวกับโรคฝีดาษลิง อันตรายที่อาจมองข้าม

โรคฝีดาษลิง คืออะไร?

โรคฝีดาษลิง หรือโรคฝีดาษวานร (Monkeypox) เป็นโรคที่ใกล้เคียงกับโรคอีสุกอีใส หรือไข้ทรพิษ แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า โดยพบเชื้อในสัตว์ตระกูลลิง และสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระรอก กระแต เป็นหลัก โดยค้นพบโรคนี้ครั้งแรกในลิง ซึ่งไปรับเชื้อมาโดยบังเอิญ จึงเป็นที่มาของชื่อโรคฝีดาษลิงโรคฝีดาษลิงแพร่ระบาดอยู่ทั่วไปในทวีปแอฟริกา จนกลายเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic disease)ซึ่งเชื้อไวรัสนี้แพร่เชื้อไปยังสัตว์อื่น และสามารถแพร่จากสัตว์ไปสู่คนได้และเป็นโรคประจำถิ่นของประเทศในแถบแอฟริกา แต่ในช่วงที่ผ่านมากลับพบการระบาดของโรคในประเทศแถบแอฟริกาและยุโรปมากขึ้น 


สาเหตุโรคฝีดาษลิง

สาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส Orthopoxvirus ในวงศ์ Poxviridae ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษ (Smallpox) โดย โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน โดยเชื้อนี้มักจะอยู่ในสัตว์ในตระกูลลิง และฟันแทะ เช่น  หนู กระรอก กระต่าย มักจะพบในป่าดิบชื้นบริเวณตอนกลางและทางตะวันตกของทวีปแอฟริกา


โดยสายพันธุ์หลักของโรคฝีดาษลิง แบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์หลัก ดังนี้

  • สายพันธุ์ Congo Basin หรือ สายพันธุ์แอฟริกากลาง มีความรุนแรงมาก อาจถึงขั้นเสียชีวิต พบอัตราการเสียชีวิต 10%

  • สายพันธุ์ West African หรือ สายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก มีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์แอฟริกากลางมาก ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่กำลังระบาดอยู่ ณ ขณะนี้ ทั่วไปในทวีปยุโรป พบอัตราการเสียชีวิต 1%

ระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการ) :ประมาณ 7-14 วัน อาจจะใช้เวลานานถึง 24 วัน ในบริเวณต่อมน้ำเหลือง 

ภาพประกอบ: โรคฝีดาษลิง - ติดต่อได้อย่างไร? ภาพแสดงการแพร่เชื้อของโรคฝีดาษลิงและวิธีการติดต่อที่เป็นไปได้
โรคฝีดาษลิง ติดต่อได้อย่างไร?

โรคฝีดาษลิง ติดต่อได้อย่างไร?

โดยเชื้อโรคฝีดาษลิง สามารถติดต่อได้ ดังนี้

จากสัตว์สู่คน 

  • สามารถติดต่อได้จากสัตว์ในตระกูลลิง และฟันแทะ เช่น หนู กระรอก กระต่าย

  • จากการสัมผัสสารคัดหลั่ง และเลือดผ่านทางผิวหนัง เช่น เลือด น้ำหนอง น้ำมูก  ตุ่มหนองของสัตว์ ผื่นสัตว์ หรือแผลของสัตว์ที่ติดเชื้อ

  • ถูกสัตว์ที่ติดเชื้อกัด หรือขีดข่วน 

  • การรับประทานอาหารที่มีเนื้อสัตว์ติดเชื้อและปรุงไม่สุก 

 

จากคนสู่คน 

  • โดยการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งอย่างไอ จาม ผื่น ตุ่มหนอง น้ำหนอง เลือด สิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อของผู้ป่วย  

  • ใช้สิ่งของร่วมกัน กับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคฝีดาษลิง 

  • ได้รับเชื้อผ่านระบบทางเดินหายใจจากผู้ติดเชื้อ การติดเชื้อผ่านละอองฝอยมักต้องใช้เวลาในการสัมผัสตัวต่อตัว จึงทำให้บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่อยู่อาศัยร่วมกับผู้ติดเชื้อเพิ่มโอกาสติดเชื้อมากขึ้น

  •  มีโอกาสติดเชื้อจากแม่สู่ทารกผ่านทางรก หรือระหว่างคลอด  

  • กลุ่มชายรักร่วมเพศจำนวนมากซึ่งมีรอยโรคบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ และใกล้อวัยวะสืบพันธุ์ หรือติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือจากการสัมผัสใกล้ชิดระหว่างกิจกรรมทางเพศ


ใครที่มีความเสี่ยงติดเชื้อฝีดาษลิง

  • ผู้ที่อาศัย หรือมีการเดินทางเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาด เช่น ในประเทศแถบแอฟริกา

  • ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ หรือผู้ป่วยที่ติดเชื้อ

  • ผู้ที่มีการสัมผัสโดยตรงกับรอยโรค ตุ่มหนอง หรือสารน้ำในตุ่มหนองที่แตกออกมา

  • ผู้ที่มีการสัมผัสสิ่งของ เช่น เสื้อผ้า หรือของใช้ที่มีสารคัดหลั่งปนเปื้อน

  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ หรือกิจกรรมทางเพศ กับผู้ติดเชื้อ

  • ผู้อยู่อาศัยร่วมกับผู้ติดเชื้อ

  • บุคลากรทางการแพทย์

  • นักวิจัยที่มีการทำวิจัยเกี่ยวกับเชื้อฝีดาษลิง

  • ผู้อาศัยติดเขตป่ามีโอกาสสัมผัสกับสัตว์ติดเชื้อมากขึ้น

ภาพประกอบ: อาการโรคฝีดาษลิง - ภาพแสดงสัญญาณและอาการที่เกิดขึ้นในผู้ที่ติดเชื้อโรคฝีดาษลิง ช่วยในการรู้จักและรับรู้ความรุนแรงของโรค
อาการโรคฝีดาษลิง

อาการโรคฝีดาษลิง

โดยอาการจะแบ่งออกเป็น 2 ระยะ

ระยะก่อนออกผื่น 

จะเริ่มภายในเวลาประมาณ 0-5 วัน มีไข้, ไข้สูง, ปวดศีรษะมาก, ต่อมน้ำเหลืองโต, ปวดตัว, ปวดหลัง, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และอ่อนเพลียมาก  ภาวะต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของโรคฝีดาษวานร โดยสามารถเกิดขึ้นได้ตามจุดต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะจุดที่ไปสัมผัสโรคตามผิวหนัง เช่น คอ ไหปลาร้า ข้อศอก รักแร้ เป็นต้น หรือผ่านทางเยื่อบุทางเดินหายใจ จากการพูดคุย สัมผัสใกล้ชิด การจูบ ได้เช่นกัน ซึ่งอาการต่อมน้ำเหลืองโตนี้จะเป็นอาการที่แตกต่างจากโรคอีสุกอีใส (Chickenpox), โรคหัด และโรคฝีดาษ ที่เป็นไข้ออกผื่นลักษณะเดียวกัน 


ระยะออกผื่น ตุ่มหนอง  

ปกติเริ่มภายใน 1-3 วันหลังจากเริ่มมีไข้  ตุ่มผื่นมักขึ้นหนาแน่นบนใบหน้าและแขนขามากกว่าลำตัว โดยผื่นจะมีขนาด 2-10 มิลลิเมตร ในช่วง 2-4 สัปดาห์ต่อมา สามารถเกิดตุ่มผื่นได้ทั้ง ใบหน้า ,ฝ่ามือฝ่าเท้า,เยื่อบุช่องปาก ,อวัยวะเพศ,เยื่อบุตา และกระจกตาก็ได้รับผลกระทบด้วยโดยผื่นเริ่มจากผื่นแดง จากนั้นค่อย ๆ เป็นเป็น ผื่นนูน (เป็นตุ่มแข็งนูนเล็กน้อย) กลายเป็นถุงน้ำ (มีของเหลวใสบรรจุอยู่ภายใน) เกิดตุ่มหนอง (มีของเหลวสีเหลืองบรรจุอยู่ภายใน) และเป็นฝี จนตุ่มหนองแตกและแห้งกลายเป็นสะเก็ด และอาจมีอาการท้องเสีย อาเจียน เจ็บคอ ไอ หอบเหนื่อยร่วมด้วย


ซึ่งในช่วงที่ผื่นเป็นตุ่มน้ำใส และตุ่มหนอง จะเป็นช่วงระยะเวลาที่สามารถแพร่เชื้อได้สูงสุด หากผื่นเริ่มตกสะเก็ดแล้ว ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการดีขึ้น จะถือว่าพ้นจากระยะการแพร่กระจายเชื้อให้ผู้อื่น ผื่นของโรคฝีดาษลิงจะกินลึกถึงชั้นผิวหนังด้านใน ทำให้หลังจากผื่นตกสะเก็ดจะทำเกิดรอยโรคหรือรอยแผลเป็นได้


ภาวะแทรกซ้อนของโรคฝีดาษลิง

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะหายเองตามธรรมชาติ และจะมีอาการป่วยเป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ แต่ บางรายที่ภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีโรคประจำตัวอาจมีภาวะแทรกซ้อนทำให้อาการรุนแรงอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนี้

  • อาจมีการติดเชื้อซ้ำที่บริเวณปอด เกิดภาวะปอดอักเสบ ลามไปสมองจนเกิดการอักเสบขึ้น

  • ติดเชื้อในกระแสเลือด

  • ติดเชื้อในระบบประสาท

  • ติดเชื้อที่กระจกตา มีความเสี่ยงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้  

ภาพประกอบ: การวินิจฉัยโรคฝีดาษลิง - ภาพแสดงกระบวนการทางการแพทย์ในการวินิจฉัยโรคฝีดาษลิง เพื่อความเข้าใจและการรักษาที่เหมาะสม
การวินิจฉัยโรคฝีดาษลิง

การวินิจฉัยโรคฝีดาษลิง

  • แพทย์เฉพาะทางจะพิจารณาจากอาการเป็นหลัก โดยเฉพาะอาการมีไข้ พร้อมกับตุ่มน้ำใส คือ สัญญาณชัดเจนของโรคฝีดาษลิง  ซึ่งผู้ป่วยที่มีผื่น ควรได้รับการแยกจากโรคอื่นๆ เช่น ฝีดาษ สุกใส หิด ซิฟิลิส การติดเชื้อทางผิวหนัง และอาการแพ้ยาอื่นๆ และอาการต่อมน้ำเหลืองโตจะช่วยบ่งชี้โรคฝีดาษลิงจากโรคฝีดาษ และโรคอีสุกอีใสได้ 

  • แพทย์จะทำการตรวจ บริเวณรอยโรคทางผิวหนัง หรือของเหลวจากตุ่มน้ำ เพื่อส่งตรวจที่ห้องปฏิบัติการ โดยมีขั้นตอนการเก็บ และส่งต่อสิ่งส่งตรวจอย่างเหมาะสม และต้องระบุอาการและระยะเวลาการเกิดโรคของผู้ป่วยพร้อมสิ่งส่งตรวจด้วย ผู้ที่เคยได้รับวัคซีนจากเชื้อในกลุ่มนี้มาก่อนอาจมีผลบวกลวงได้ ซึ่งการตรวจ มีดังนี้

    • การตรวจหาสารพันธุกรรม Real – Time PCR โดยระยะเวลาการตรวจอยู่ที่ 24 – 48 ชั่วโมง 

    • การตรวจลำดับนิวคลิโอไทด์ด้วยเทคนิค DNA Sequencing ที่ใช้ระยะเวลาการตรวจ 4 – 7 วัน


การรักษาโรคฝีดาษลิง

ผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงมักหายเองได้  ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรคฝีดาษลิงแบบจำเพาะ แต่จะเป็นการรักษาเพื่อบรรเทาอาการ และควบคุมการเกิดภาวะแทรกซ้อน อัตราการเสียชีวิตของโรคนี้อยู่ที่ 1-10% ซึ่งต่ำกว่าไข้ทรพิษมาก

  • หากไม่ได้ทำการรักษาโรคฝีดาษลิง ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ ธรรมชาติของโรคจะหายได้เองภายใน 2 - 4 สัปดาห์

  • เนื่องจากการไม่มีการรักษาโรคฝีดาษลิงเฉพาะ ทำได้เพียงการให้วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษภายใน 4 วันหลังสัมผัสเพื่อป้องกันการติดโรค และฉีดวัคซีนภายใน 14 วันเพื่อลดความรุนแรงของโรค วัคซีนเฉพาะสำหรับโรคฝีดาษลิง ชื่อว่า วัคซีน Ankara ซึ่งมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการให้วัคซีนโรคไข้ทรพิษ ซึ่งผลการรักษาจะมีประสิทธิภาพเพียง 85% รวมทั้งการให้ยาต้านไวรัส ได้แก่

    • Cidofovir

    • Tecovirimat

    • Brincidofovir

  • การรักษาแบบประคับประคอง 

    • การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ 

    • การป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน 

  • ดูแลผิวหนังที่ติดเชื้อ 

    • หลีกเลี่ยงการแกะ เกาแผล หรือที่ผื่น

    • บริเวณที่เป็นผื่น ต้องมีการระบายอากาศ เพื่อไม่ให้ผิวหนังอับชื้น ป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม

    • ไม่ควรปิดผื่นให้มิดชิด แต่ควรเปิดผื่นให้ระบายอากาศได้ 

    • ควรล้างมือด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์ ก่อนและหลังการสัมผัสผื่น 

    • ทำความสะอาดผื่นด้วยน้ำสะอาด หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ

    • หากผื่นมีอาการปวด บวมแดง หรือเป็นหนอง แนะนำให้รีบพบแพทย์

ภาพประกอบ: การป้องกันโรคฝีดาษลิง - ภาพแสดงมุมมองการป้องกันโรคฝีดาษลิง รวมถึงมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่สามารถลดความเสี่ยงได้ ในการป้องกันการติดเชื้อ
การป้องกันโรคฝีดาษลิง

การป้องกันโรคฝีดาษลิง

  • การป้องกันโรคฝีดาษลิงทำได้โดยสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยน้ำ และสบู่บ่อยๆ ใช้แอลกอฮอล์ล้างมือ และเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา จมูก และปาก เมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยงการแพร่ระบาด

  • การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ  หรือไม่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ควรออกห่างจากผู้ติดเชื้อ ผู้ที่สงสัยเสี่ยงติดเชื้อ หรือมีประวัติสัมผัสผู้ติดเชื้อ

  • ไม่นำมือไปสัมผัสผื่น ตุ่ม หนอง ของผู้ที่เสี่ยงติดเชื้อ

  • หลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ไม่ปรุงสุก 

  • ระวังสัตว์กัด หรือข่วน 

  • ไม่ใช้ของร่วมกับผู้ป่วยโรคฝีดาษลิง 

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ หรือสารคัดหลั่งของสัตว์ที่อาจเป็นพาหะ เช่น สัตว์ฟันแทะ  ลิง  แม้ว่าสัตว์ตัวนั้นจะตายไปแล้ว

  • ผู้ที่ทำงานในห้องวิจัยเกี่ยวกับเชื้อโรคและบุคลากรทางการแพทย์ควรมีการใช้อุปกรณ์ป้องกันตัวเองอย่างเหมาะสม จะสามารถลดความเสี่ยงของการติดโรคได้ 

  • การฉีดวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้

  • เฝ้าระวังอาการ 21 วันหลังกลับจากประเทศเขตติดโรค



โรคฝีดาษลิง เป็นโรคที่สามารถแพร่กระจายจากสัตว์สู่คน และคนสู่คน ทำให้การป้องกันโรคฝีดาษลิง มีความสำคัญที่ต้องมีการควบคุมการแพร่กระจายของโรคฝีดาษลิง โดยต้องปฏิบัติตามแนวทางป้องกันทางการแพทย์ และตามคำแนะนำของแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ การแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่น ๆ และป้องกันการระบาดของโรคในแหล่งชุมชน หากมีอาการที่สงสัยหรือคำถามเกี่ยวกับโรคฝีดาษลิง ควรปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญทางสุขภาพเพื่อข้อมูล และคำปรึกษาที่ถูกต้องเหมาะสม


Comments


bottom of page