โรคหนองในเทียม เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อย ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งชาย และหญิง เกิดจากแบคทีเรีย รักษาได้ง่าย และหายขาดด้วยยาปฏิชีวนะ หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดปัญหาร้ายแรง รวมถึงภาวะมีบุตรยาก และการตั้งครรภ์นอกมดลูก ในสตรีมีครรภ์อาจทำให้ทารกคลอดก่อนกำหนดได้ ซึ่งการป้องกันโรคหนองในเทียมเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรรู้และปฏิบัติ ความระมัดระวังในการมีกิจกรรมเพศสัมพันธ์ร่วมกับการตรวจสุขภาพประจำอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรคนี้ได้มากขึ้น และการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์เป็นวิธีป้องกันโรคหนองในเทียมที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
หนองในเทียม คืออะไร?
โรคหนองในเทียม (Non Gonococcal Urethritis) หรือ NSU โดยเกิดจากเชื้อโรคหลายชนิด แต่ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย มีลักษณะอาการคล้ายกับโรคหนองในแท้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมูกใส หรือหนองที่บริเวณอวัยวะเพศ โรคหนองในเทียมมักจะไม่ปรากฏอาการให้เห็นอย่างชัดเจน แต่มักจะก่อให้เกิดการทำลายระบบอวัยวะสืบพันธุ์ของผู้หญิงอย่างมาก จนอาจทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก เป็นหมัน หรือตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ ในผู้ชายอาการที่อาจพบได้ คือ มีน้ำลักษณะคล้ายหนองไหลออกจากอวัยวะเพศได้ อีกทั้งยังสามารถติดต่อทางทวารหนัก และช่องปากได้ด้วย ที่สำคัญเมื่อติดเชื้อโรคหนองในเทียมแล้ว จะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคเอดส์ และโรคซิฟิลิสได้มากกว่าคนทั่วไป 2-4 เท่า
สาเหตุโรคหนองในเทียม
สาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรียตัวอื่นๆ ที่ไม่ใช่หนองในแท้ ได้แก่
เชื้อคลามัยเดีย ทราโคมาทิส (Chlamydia trachomatis) พบมากที่สุด และเป็นสาเหตุหลักของโรคหนองในเทียม
เชื้อยูเรียพลาสม่า พาร์วุ่ม (Ureaplasma urealyticum) / parvum พบรองลงมา
เชื้อไมโคพลาสมา เจนนิทัลเลียม Mycoplasma genitalium / hominis พบได้น้อย
โดยมักได้รับเชื้อมาจากการสัมผัสเยื่อบุช่องคลอด ปาก ทวารหนัก อวัยวะเพศ โดยมีการหลั่งน้ำอสุจิหรือไม่มีการหลั่งน้ำอสุจิก็ได้ และเกิดได้ในตำแหน่งของอวัยวะเพศทั้งชายและหญิง รวมถึงทวารหนักด้วย สำหรับระยะอาการของโรคในเพศหญิง และเพศชายจะมีระยะฟักตัวที่แตกต่างกันและขึ้นอยู่กับบริเวณที่ติดเชื้อ
ระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการ) : ประมาณ 1-2 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้น
เพศชายมักจะพบประมาณ 1- 3 วัน
เพศหญิงที่ติดเชื้อ มักไม่แสดงอาการมาก เหมือนเพศชาย พบประมาณ 10 วัน
ใครที่มีความเสี่ยงติดโรคหนองในเทียม
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะทางทวารหนัก ปาก หรือทางช่องคลอด
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคน
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์อายุน้อย โดยเฉพาะผู้หญิงที่เยื่อบุปากมดลูกยังไม่มีการพัฒนาอย่างเต็มที่ (มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้นหากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาดังกล่าว)
ผู้ที่มีประวัติเคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย หรือผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง ก็สามารถติดหนองในเทียมได้
หนองในเทียมอาจติดต่อจากแม่สู่ลูกขณะมีการคลอดทางช่องคลอด
อาการโรคหนองในเทียม
อาการในช่วงแรกอาจจะยังไม่แสดงอาการให้พบเห็น หลังได้รับเชื้อแล้วในระยะเวลา 1-3 สัปดาห์ จะแสดงอาการแตกต่างกันออกไปตามเพศ ดังนี้
อาการหนองในเทียมในเพศชาย
มีไข้ เจ็บคอ คอแห้ง
ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัว
มีมูกใส หรือขุ่นไหลออกจากปลายอวัยวะเพศ ซึ่งไม่ใช่ปัสสาวะหรือน้ำอสุจิ
รอบๆ รูท่อปัสสาวะดูบวมแดง
มีอาการระคายเคืองและคันบริเวณท่อปัสสาวะ
มีอาการอักเสบที่บริเวณหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ
รู้สึกเจ็บ หรือแสบที่อวัยวะเพศขณะปัสสาวะ
รู้สึกปวด หรือมีการบวมที่ลูกอัณฑะ
อาการหนองในเทียมในเพศหญิง
มีไข้ เจ็บคอ คอแห้ง
ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัว
มีตกขาวลักษณะผิดปกติและมีกลิ่นเหม็น
ประจำเดือนผิดปกติ
รู้สึกเจ็บ หรือแสบที่อวัยวะเพศขณะปัสสาวะ
รู้สึกคัน หรือแสบร้อนบริเวณรอบอวัยวะเพศ
รู้สึกเจ็บท้องน้อย หรือเจ็บที่กระดูกเชิงกราน เวลามีประจำเดือน หรือขณะมีเพศสัมพันธ์
มีเลือดออกขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือบางรายมีเลือดออกช่วงที่ไม่มีประจำเดือน
อาการแสดง สำหรับการมีเพศสัมพันธ์ทางอื่น ๆ เช่น ทางทวารหนัก หรือทางปากกับผู้ที่ติดเชื้อ
รู้สึกปวด เจ็บ ที่บริเวณทวารหนัก
มีเลือดไหล หรือมีหนองที่บริเวณทวารหนัก
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางปากอาจมีไข้ ไอ และรู้สึกเจ็บคอคอแห้ง
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหนองในเทียม
จะแสดงอาการแตกต่างกันออกไปตามเพศของผู้ป่วย โดยมีลักษณะดังต่อไปนี้
ภาวะแทรกซ้อนในเพศชาย
อัณฑะอักเสบ หรือต่อมลูกหมากติดเชื้อ หนองในเทียมในเพศชายสามารถแพร่กระจายไปที่ลูกอัณฑะ หลอดเก็บน้ำอสุจิ และต่อมลูกหมาก ทำให้มีอาการปวดหรือบวม มีไข้หนาวสั่น เจ็บที่อวัยวะเพศขณะปัสสาวะ ปัสสาวะแสบขัด ปวดเอว และเกิดอาการปวดในระหว่างหรือหลังมีเพศสัมพันธ์ ถ้าปล่อยไว้หรือไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาจทำให้เป็นหมันได้
ข้ออักเสบข้ออักเสบ หรือที่รู้จักในชื่อ โรคไรเตอร์ หรือข้ออักเสบไรเตอร์ (Reiter Syndrome) หลังจากเป็นหนองในเทียมในช่วงไม่กี่สัปดาห์ อาจมีอาการตามมาด้วยคือข้ออักเสบ รวมไปถึงทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือตาอักเสบ
อาจส่งผลต่อพื้นผิวของท่อปัสสาวะในผู้ชาย พื้นผิวของไส้ตรง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) หรือดวงตา
ภาวะแทรกซ้อนในเพศหญิง
การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน หรืออุ้งเชิงกรานอักเสบ หนองในเทียมในเพศหญิงสามารถแพร่กระจายไปยังมดลูก ท่อนำไข่ และรังไข่ได้ ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว ปวดท้องน้อยขณะปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์ มีเลือดออกในขณะหรือหลังมีเพศสัมพันธ์ อาการเหล่านี้จะส่งผลทำให้เกิดภาวะการมีบุตรยาก ปวดท้องน้อยเรื้อรัง เพิ่มความเสี่ยงในการตั้งครรภ์นอกมดลูก
หากหญิงตั้งครรภ์เป็นหนองในเทียมอาจแพร่เชื้อไปยังทารกได้ ซึ่งทำให้เกิด โรคปอดบวม (Pneumonia) หรือการติดเชื้อรุนแรงที่ดวงตา
การวินิจฉัยโรคหนองในเทียม
ขั้นตอนแรกแพทย์จะซักประวัติและพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ของผู้ป่วย จากนั้นจะทำการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากบริเวณที่มีการร่วมเพศเพื่อส่งตรวจ การเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งสามารถทำได้ ดังนี้
การเก็บตัวอย่างเชื้อไปตรวจ (Swab Test) คือ การใช้ไม้พันสำลีเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งที่บริเวณปากมดลูก ปลายท่อปัสสาวะ ทวารหนัก หรือลำคอ เพื่อนำไปตรวจหาเชื้อ
การทดสอบปัสสาวะh (Urine Test) คือการเก็บตัวอย่างปัสสาวะของผู้ป่วยไปตรวจ ควรเป็นปัสสาวะที่ทิ้งระยะจากการปัสสาวะครั้งล่าสุด 1–2 ชั่วโมง
ตรวจหาเชื้อด้วยวิธี PCR (การตรวจหาสารพันธุกรรมเฉพาะตัวของเชื้อคลามัยเดีย) โดยทำการเก็บตัวอย่างปัสสาวะหรือสารคัดหลั่งจากปากมดลูก อวัยวะเพศชาย ลำคอ และรูทวาร
โดยปกติ การวินิจฉัยโรคจะเสร็จสิ้นภายใน 1 วัน และจะทราบผลหลังการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งประมาณ 7–10 วัน ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการหรือพบประวัติทางเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงสูง แพทย์จะให้ทำการรักษาทันที และสำหรับผู้หญิงที่ปากมดลูกอักเสบไม่ค่อยแสดงอาการ ทว่าขณะเดียวกันก็อาจส่งผลกระทบอย่างหนักในระยะยาว หากคุณรู้สึกว่าตัวเองมีความเสี่ยง ให้รีบไปตรวจหาเชื้อ และเริ่มการรักษาโดยเร็วที่สุด
การรักษาหนองในเทียม
สามารถรักษาได้โดยการรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยรักษาหรือป้องกันการติดเชื้อและแพร่กระจายของแบคทีเรีย
กลุ่มยาปฏิชีวนะที่ใช้ในการรักษาหนองในเทียมได้แก่
กลุ่มยาเพนิซิลลิน (Penicillins) ได้แก่ อะม็อกซี่ซิลลิน (Amoxicillin)
กลุ่มยาแมคโครไลด์ (Macrolides) ได้แก่ อะซิโธรมัยซิน (Azithromycin) อิริโทรมัยซิน (Erythromycin) ร็อกซิโทรมัยซิน (Roxithromycin)
กลุ่มยาเตตราไซคลิน (Tetracyclines)ได้แก่ ดอกซีไซคลิน (Doxycycline) เตตราไซคลิน (Tetracycline)
ซึ่งแพทย์จะทำการเลือกใช้และปริมาณยาจะขึ้นอยู่กับตามอวัยวะที่ติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อหนองในเทียมที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก และคอ จะสามารถเลือกใช้ยาได้หลายกลุ่ม ในปริมาณยาที่ต่างกัน
กลุ่มยาสำหรับโรคหนองในเทียมในเด็ก ได้แก่
อิริโทรมัยซิน Erythromycin สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักตัวน้อยว่า 45 กิโลกรัม
อะซิโธรมัยซิน Azithromycin สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า 45 กิโลกรัม หรือ เด็กอายุน้อยว่า 8 ปี
อะซิโธรมัยซิน Azithromycin สำหรับเด็กอายุ 8 ปีขึ้นไป
ดอกซีไซคลิน Doxycycline สำหรับเด็กอายุ 8 ปีขึ้นไป
กลุ่มยาสำหรับการติดเชื้อที่เยื่อบุตาในทารก ได้แก่
อิริโทรมัยซิน (Erythromycin) 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
อะซิโธรมัยซิน (Azithromycin) 20 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
โดยผู้ป่วยจะมีอาการที่ดีขึ้นหลังจากได้รับการรักษาประมาณ 1-2 สัปดาห์ และควรรับประทานยาจนครบตามที่แพทย์สั่ง นอกจากนี้ หากรู้สึกว่าอาการดีขึ้นแล้วก็ตาม หลังจากนั้น 3 เดือนควรกลับไปตรวจหาเชื้ออีกครั้ง เพื่อลดอัตราเสี่ยงในการเกิดซ้ำ ร่วมกับการตรวจคัดกรองหาเชื้อในคู่นอนที่เคยมีเพศสัมพันธ์กันภายใน 6 เดือนที่ผ่านมาด้วย
การป้องกันโรคหนองในเทียม
การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การลดความเสี่ยงในการได้รับเชื้อ โดยเฉพาะการรับเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ หรือปฏิบัติตัวตามวิธีการดังต่อไปนี้
ใช้ถุงยางอนามัยให้ถูกวิธีทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ทั้งทางอวัยวะเพศ หรือทางทวารหนัก สามารถช่วยป้องกันหนองในเทียม และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้ถึง 99%
ใช้ถุงยางอนามัยสำหรับผู้ชาย หรือถุงครอบปาก (dental dam) ซึ่งมีลักษณะเป็นยางบางๆรูปสี่เหลี่ยมสำหรับผู้หญิงเมื่อมีเพศสัมพันธ์ทางปาก
ควรตรวจอย่างละเอียดว่าได้ล้างเซ็กซ์ทอย (sextoy) หรือเปลี่ยนถุงยางอนามัยที่ใช้กับเซ็กซ์ทอย(sextoy)แล้วก่อนใช้กับคนใหม่
มีคู่นอนเพียงคนเดียว การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นหนองในเทียมและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
หลีกเลี่ยงการสวนล้างภายในร่างกาย โดยเฉพาะในเพศหญิง เพราะจะเป็นการลดจำนวนแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อช่องคลอด และเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
หนองในเทียมจะไม่ติดต่อผ่านการจูบ การกอด การใช้ช้อนส้อม การใช้สระว่ายน้ำ การใช้ห้องน้ำหรือห้องอาบน้ำร่วมกับผู้ป่วย
ควรดื่มน้ำก่อนร่วมเพศและถ่ายปัสสาวะทันทีหลังร่วมเพศเสร็จ หรือทำความสะอาดอวัยวะเพศหลังการร่วมเพศ เพื่อลดอัตราการติดเชื้อลง แต่วิธีนี้อาจใช้ไม่ได้ผลกับทุกคน
สำหรับผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ และมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคหนองในเทียม เช่น หญิงตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่มีคู่นอนคนใหม่ หรือมีคู่นอนในช่วงเวลาเดียวกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ควรได้รับการตรวจคัดกรองโรคหนองในเทียมอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกปีเพื่อความมั่นใจ และอาจจะตรวจมากกว่า 1 ครั้งต่อปีในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง หรือตรวจตามคำแนะนำของแพทย์
เมื่อเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จะต้องรีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ป้องกันไม่ให้เกิดอาการร้ายแรง และควบคุมไม่ให้แพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
ตรวจสุขภาพ และตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 1 ครั้ง/ปี
การเข้าใจถึงความสำคัญของการป้องกัน และการรักษาโรคหนองในเทียม สามารถช่วยลดโอกาสความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคหนองในเทียม เพราะส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ การวินิจฉัยโดยใช้การทดสอบในห้องปฏิบัติการยังคงเป็นแนวทางหลักในการตรวจการติดเชื้อโรคหนองในเทียม เพื่อจะได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ และป้องกันไม่ให้เกิดอาการของโรคที่ร้ายแรง หรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ทั้งยังสามารถควบคุมไม่ให้แพร่เชื้อโรคไปยังผู้อื่นได้อีกด้วย
Commentaires