การตรวจหาเชื้อเอชไอวี เป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกัน และรักษาเอชไอวี แต่มีหลายวิธีที่ใช้ในการตรวจหาเชื้อเอชไอวี แต่ละวิธีนั้นมีข้อดี ข้อเสียที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อน ที่ผู้ที่ต้องการตรวจจะตัดสินใจเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง ในบทนี้เราจะสรุปข้อดี ข้อเสีย ของแต่ละวิธีการตรวจหาเชื้อเอชไอวี เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบถึงข้อควรระวัง และข้อได้เปรียบของแต่ละวิธี เพื่อให้สามารถทำการตัดสินใจเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมสำหรับบุคคลแต่ละบุคคลได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพในการป้องกันและรักษาเอชไอวีได้อย่างเหมาะสม
การตรวจหาเชื้อเอชไอวี คืออะไร?
การตรวจหาเชื้อเอชไอวี คือ การนำสารคัดหลั่งจากร่างกายไปตรวจหาเชื้อเอชไอวี ในห้องปฏิบัติการ โดยสามารถเก็บตัวอย่างได้จากการขูดเซลล์ หรือน้ำลายในช่องปาก แต่ที่นิยมในปัจจุบัน ก็คือ การตรวจจากเลือด ซึ่งมีให้บริการทั่วไปตามคลินิก และโรงพยาบาลต่างๆ นอกจากนี้หากไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ก็สามารถปรึกษาเภสัชกรเพื่อซื้อชุดตรวจเอชไอวี แบบตรวจเชื้อเอชไอวีด้วยตัวเองมาใช้ได้ แต่หากได้ผลตรวจเป็นบวก ก็ยังคงต้องตรวจยืนยันผลอีกครั้งในห้องปฏิบัติการด้วยเช่นกัน
การตรวจหาเชื้อเอชไอวีแต่ละวิธี มีความแม่นยำแค่ไหน?
โดยทั่วไป การตรวจหาเชื้อเอชไอวีในปัจจุบันมีความแม่นยำสูง มากกว่า 99.9 เปอร์เซ็นต์ แต่ความแม่นยำของการตรวจหาเชื้อเอชไอวีขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึง
ประเภทของการทดสอบที่ใช้
เวลาที่ผู้ป่วยทดสอบเร็วแค่ไหนหลังจากได้รับเชื้อเอชไอวี
ร่างกายของแต่ละคนมีการตอบสนองต่อเชื้อเอชไอวีที่ไม่เหมือนกัน
การตรวจหาเชื้อเอชไอวี ด้วยการเจาะเลือด
เป็นวิธีทั่วไปที่คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงเป็นวิธีแรก ในการตรวจหาเชื้อเอชไอวี แพทย์จะทำการเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำที่แขนของเรา และเลือดจะถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อทำการทดสอบ และวินิจฉัยหาเชื้อเอชไอวี โดยการ ตรวจหาเชื้อเอชไอวีในปัจจุบัน มี 4 แบบหลัก ๆ คือ
การตรวจหาแอนติเจนของเชื้อเอชไอวี (HIV p24 Antigen Testing)
คือ การตรวจโปรตีนของเชื้อที่ชื่อว่า p24 Antigen เป็นการตรวจการติดเชื้อในระยะแรก ซึ่งร่างกายผู้ได้รับเชื้อเอชไอวี ยังไม่สร้างแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV) หรือมีระดับแอนติบอดีที่ต่ำ จนไม่สามารถตรวจวัดได้ โดยสามารถตรวจได้ภายหลังการติดเชื้อประมาณ 14-15 วัน
การตรวจหาแอนติบอดีที่จำเพาะต่อเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV Testing)
คือ การตรวจหาภูมิคุ้มกัน (Antibody) ของร่างกายที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองการที่มีเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย เป็นการตรวจที่สามารถทราบผลใน 1-2 ชั่วโมงหลังการตรวจ แต่เป็นผลย้อนหลังไปประมาณ 3-4 สัปดาห์ หรือประมาณ 1 เดือน หากมีพฤติกรรมเสี่ยงมาไม่ถึง 1 เดือน ถึงผลเลือดจะออกมาเป็นลบ (Negative = ไม่พบเชื้อเอชไอวี) แพทย์จะลงความเห็นว่า เชื้ออยู่ในช่วงระยะฟักตัว หรือยังตรวจไม่พบด้วยวิธีการตรวจแบบ Anti-HIV
การตรวจโดยใช้ชุดตรวจแอนติบอดีจำเพาะต่อเชื้อเอชไอวี และตรวจแอนติเจนของเชื้อเอชไอวีพร้อมกัน (HIV Ag/Ab Combination Assay)
หรือเรียกอีกอย่างว่า ตรวจแบบใช้น้ำยา Fourth Generation ซึ่งเป็นการตรวจ Anti-HIV และ HIV p24 Antigen ในคราวเดียวกัน ปัจจุบันน้ำยาประเภทนี้มีการใช้อย่างแพร่หลาย โดยสามารถตรวจพบเชื้อเอชไอวีได้เร็วที่สุด 14-15 วัน หรือ 2 สัปดาห์ หลังติดเชื้อเอชไอวี
การตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวี หรือ Nucleic Acid Test (NAT)
เป็นวิธีที่มีความไวมากที่สุด คือ การตรวจ HIV RNA หรือ Proviral DNA นี้ มีการใช้เพื่อติดตามปริมาณไวรัส (Viral Load) ก่อน และหลังการรักษา ซึ่งเป็นวิธีที่มีความรวดเร็วมาก สามารถตรวจการติดเชื้อเอชไอวีได้ตั้งแต่ 3-7 วันหลังติดเชื้อเอชไอวี โดยไม่ต้องรอ 14 วัน แพทย์มักจะนิยมใช้กับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการรับเชื้อเอชไอวี และปัจจุบันวิธีนี้ใช้ในการตรวจคัดกรองเลือดผู้บริจาคโลหิต แต่ยังไม่นำมาใช้ในการตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อเอชไอวีในสถานพยาบาล
ตารางเปรียบเทียบ ข้อดี และข้อเสียของแต่ละวิธีการตรวจหาเชื้อเอชไอวี
วิธีการตรวจหาเชื้อเอชไอวี | ข้อดี | ข้อเสีย |
HIV p24 antigen test |
|
|
Anti-HIV Testing |
|
|
Fourth Generation |
|
|
Nucleic Acid Test (NAT) |
|
|
การตรวจหาเชื้อเอชไอวีที่ผิดพลาด
การตรวจหาเชื้อเอชไอวี เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพที่ดีของตนเองและผู้อื่น แต่บางครั้งผลการตรวจหาเชื้อเอชไอวีที่ผิดพลาด ทำให้ตรวจที่ออกมาอาจไม่แสดงสถานะที่แท้จริงของการติดเชื้อของผู้ป่วยได้ ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดผลบวกลวง และผลลบลวง ดังนี้
ผลบวกลวง เกิดขึ้นเมื่อผู้ที่ไม่มีเชื้อเอชไอวีได้รับผลบวกหลังจากตรวจไวรัสแล้ว หมายถึง ผลตรวจออกมาเป็นบวก แต่ในความเป็นจริงไม่มีการติดเชื้อ สาเหตุของผลบวกลวงอาจมาจากสาเหตุต่างๆ เช่น ความผิดพลาดในการทดสอบหรือสารต่างๆที่มีผลกระทบต่อการทดสอบ ผลบวกลวงอาจทำให้ผู้ทดสอบรู้สึกกังวล และต้องการการตรวจเพิ่มเติม
ผลลบลวง เกิดขึ้นเมื่อผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี ได้รับผลลบหลังจากตรวจไวรัสแล้ว หมายถึง ผลตรวจออกมาเป็นลบ แต่ในความเป็นจริงมีการติดเชื้อ สาเหตุของผลลบลวงอาจมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น การเก็บตัวอย่างไม่ถูกต้อง การประมวลผลไม่ถูกต้อง หรือสารที่มีอิทธิพลต่อการทดสอบ ผลลบลวงอาจสร้างความเชื่อใจผิดในสถานะของการติดเชื้อและสามารถส่งผลกระทบต่อการดูแลรักษาและการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวีได้
เพื่อลดความไม่แน่ใจและเพิ่มความมั่นใจในผลการตรวจ แนะนำให้พบแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญในด้านการตรวจเอชไอวี ผู้เชี่ยวชาญสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับการทดสอบเพิ่มเติมหรือการติดตามในกรณีที่มีผลบวกหรือลบลวง การศึกษา และการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณเข้าใจและจัดการกับสถานะการติดเชื้อเอชไอวีของคุณได้อย่างเหมาะสม
การป้องกันการตรวจหาเชื้อเอชไอวีที่ผิดพลาด
บางครั้งผลการตรวจอาจไม่สามารถให้ข้อมูลที่แม่นยำ และน่าเชื่อถือได้ เพื่อช่วยคุณป้องกันการตรวจหาเชื้อเอชไอวีที่ผิดพลาดได้ ดังนี้
เลือกหาข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจหาเชื้อเอชไอวีจากแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือได้เท่านั้น เช่น เว็บไซต์ขององค์กรสาธารณสุข โรงพยาบาล คลินิก หรือสถานบริการตรวจเอชไอวี
ก่อนที่จะตัดสินใจที่จะทำการตรวจหาเชื้อเอชไอวี ควรใช้เวลาศึกษา และค้นคว้าเกี่ยวกับกระบวนการที่ถูกต้อง และมาตรฐานของการทดสอบ
ตรวจสอบกับผู้ให้บริการทางการแพทย์เกี่ยวกับกระบวนการการเก็บตัวอย่าง เพื่อให้แน่ใจว่าถูกต้องและมีความน่าเชื่อถือ
การแปลผลการตรวจการติดเชื้อเอชไอวีควรคำนึงถึงความเสี่ยงของการได้รับเชื้อเอชไอวี ช่วงเวลาที่ได้รับเชื้อ
การตรวจการติดเชื้อเอชไอวีควรทำการตรวจจากตัวอย่างเลือดอย่างน้อย 2 ตัวอย่างจากผู้เข้ารับการตรวจ เพื่อป้องกันการวินิจฉัยที่ผิดพลาดจากการปะปนกันของตัวอย่างเลือด
ควรทำการตรวจติดตามซ้ำในระยะเวลา 1 – 3 เดือน หากผู้เข้ารับการตรวจมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อเอชไอวี
หากคุณมีความกังวลหรือไม่แน่ใจเกี่ยวกับผลการทดสอบ เราแนะนำให้พูดคุยกับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญในด้านเอชไอวี เพื่อขอคำแนะนำและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้อง
การตรวจหาเชื้อเอชไอวีแต่ละวิธีมีความสำคัญ และควรใช้ในบริบทที่เหมาะสม โดยการพิจารณาข้อดี และข้อเสียของแต่ละวิธีจะช่วยให้ผู้รับบริการสามารถตัดสินใจเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมที่สุดตามสถานการณ์ และความต้องการของตนเองได้อย่างมั่นใจ และมีประสิทธิภาพในการป้องกัน และรักษาการติดเชื้อเอชไอวีได้ดีที่สุด
Comments