อาการคันในที่ลับ หรือบริเวณจุดซ่อนเร้น ไม่ว่าจะเกิดกับเพศใด ล้วนสร้างความรำคาญ และส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันไม่มากก็น้อย ซึ่งอาการคันมาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นคันเพราะ แพ้ หรือคัน เพราะแมลงกัดต่อยโดยหนึ่งในสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการดังกล่าวคือ การเป็นโรคโลน ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง โดยตัวโลน ซึ่งเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ลักษณะคล้ายเหา อาศัยอยู่กับร่างกายมนุษย์ และดำรงชีวิตโดยการดูดเลือดเป็นหลัก พบได้มากที่สุดบริเวณจุดซ่อนเร้น หรือ อวัยวะเพศ แต่ก็อาจพบที่บริเวณอื่น ๆ ของร่างกายได้เช่นกัน ติดต่อกันได้ผ่านการมีกิจกรรมทางเพศทุกชนิด สำหรับใครที่เจอปัญหานี้อยู่ ควรไปพบแพทย์เพื่อเช็กให้แน่ใจว่าใช่โรคโลนหรือไม่ เพื่อจะได้ทำการรักษาอย่างถูกต้อง และห่างไกลจากโรคนี้ด้วย
ตัวโลน คืออะไร?
โลน (Pediculosis Pubis หรือ Pubic Lice) คือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในกลุ่มปรสิตที่อาศัยอยู่กับร่างกายมนุษ และดำรงชีวิตด้วยการดูดเลือดจากผิวหนังมนุษย์ โลน มีขนาดเล็กมากประมาณ 1-2 มิลลิเมตร สามารถเห็นด้วยตาเปล่าได้ ตัวมีสีน้ำตาลอ่อนหรือเทาอ่อน ลักษณะเด่น คือ มีขา 6 ขา โดยขาหน้า 2 ข้าง มีลักษณะพิเศษเป็นก้ามคล้ายขาปู ภาษาอังกฤษเรียกว่า crab louse ส่วนขานี้เองที่ใช้เป็นตัวเกี่ยวเส้นขนตามร่างกายมนุษย์ เพราะโลนจะชอบอาศัยอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ในร่างกายที่มีขนหนา ๆ
โดยพบในบริเวณที่มีขนหนา ๆ ขึ้น เช่น ขนรักแร้ ขนหน้าอก หนวดเครา ขนคิ้ว หรือแม้แต่ขนตา ก็พบโลนได้เหมือนกัน แต่พบได้มากที่สุด คือ ขนบริเวณอวัยวะเพศ ทุกครั้งที่กัดมนุษย์ สิ่งที่ทิ้งไว้คือ รอยตุ่มสีแดง อาการคันคะเยอ แม้ว่าจะไม่ได้สร้างอันตรายแต่ก็สร้างความรำคาญไม่น้อย
ตัวโลนที่พบได้ในร่างกายมนุษย์มีทั้งหมด 3 ระยะ คือ
ไข่ (Nit) มีขนาดเล็กมากจนมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่อาจเห็นได้ด้วยการใช้แว่นขยาย ไข่ของโลนมีสีขาว หรือสีเหลือง และมักจะเกาะอยู่ตามเส้นขน ใช้เวลาในการฟักตัวประมาณ 6-10 วัน ก่อนจะออกมาเป็นตัวอ่อน
ตัวอ่อน (Nymph) หลังจากไข่ฟักตัวแล้ว ตัวอ่อนของโลนจะอาศัยอยู่ที่บริเวณอวัยวะเพศ และอาศัยเลือดของมนุษย์เป็นอาหาร ลักษณะของตัวอ่อนจะคล้ายกับตัวโตเต็มไว แต่มีขนาดเล็กกว่า และต้องใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 สัปดาห์กว่าจะโตเต็มไว
ตัวเต็มวัย (Adult) ลักษณะเด่นคือ มีสีน้ำตาลอ่อน หรือมีสีเทาอ่อน ๆ มีหกขา โดยขาหน้า 2 ขาจะใหญ่และมีลักษณะคล้ายก้ามปู ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ หากตัวโลนร่วงจากร่างกายมนุษย์ก็จะตายเองภายใน 1-2 วัน
วงจรชีวิตของตัวโลน ที่พบตามขนบริเวณอวัยวะเพศ
ตัวโลนที่พบตามขนบริเวณอวัยวะเพศ สามารถพบได้ทั้งตัวผู้และตัวเมีย
ตัวโลนตัวผู้จะตายลงหลังจากมีการผสมพันธุ์เสร็จแล้ว ส่วนโลนตัวเมียจะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 25-30 วัน
ตัวโลนตัวเมียจะเริ่มวางไข่ไปตามเส้นขน โดยทั่วไปแล้วโลน 1 ตัวจะสามารถวางไข่ได้อย่างน้อย 30 ฟอง หลังจากนั้น 7 วันไข่จะฟักตัวออกมาเป็นตัวอ่อน
ตัวโลนจะใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ ในการเจริญเติบโตจากตัวอ่อนเป็นตัวเต็มวัย พร้อมจะผสมพันธุ์ และออกไข่ต่อไป
สาเหตุโรคโลน
สาเหตุเกิดจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีชื่อว่า โลน (Pubic Lice) ซึ่งเป็นแมลงที่ไม่สามารถบิน หรือกระโดดได้ และต้องการเลือดมนุษย์เพื่อดำรงชีวิต โลนติดต่อกันได้ผ่านการสัมผัสอย่างใกล้ชิด เช่น การกอด จูบ แต่ที่มักพบได้บ่อยที่สุด คือ การติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการ) :ประมาณ 30 วัน
โดยสามารถติดต่อได้ 2 ทาง คือ
ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เนื่องจากตัวโลนมักอาศัยอยู่ที่อวัยวะเพศ ดังนั้นเวลามีเพศสัมพันธ์ โลนสามารถติดไปยังอีกคนหนึ่งได้ง่าย ๆ
ติดต่อจากการใช้ของใช้ร่วมกัน หากใครในบ้านเป็นโรคโลน แล้วไม่ระวังตัวเอง และไปใช้ผ้าเช็ดตัว ใส่เสื้อผ้าร่วมกัน นอนเตียงเดียวกัน หรือแม้กระทั่งนั่งบนโถส้วมที่มีเชื้อโรคโลนอยู่ ก็สามารถทำให้เกิดการติดโรคโลนได้ เพราะโลนสามารถมีชีวิตนอกร่างกายได้นานถึง 24 ชั่วโมง ถึงโลนจะไม่สามารถกระโดดได้ แต่มันจะค่อยๆ คืบคลานไปตามขนและพื้นผิว
ใครที่มีความเสี่ยงติดโรคโลน
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น มีดังนี้
ผู้ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ
ผู้ที่มีความใกล้ชิดกัน เช่น ครอบครัวเดียวกัน อยู่บ้านเดียวกัน นอนเตียงเดียวกัน หากใครคนหนึ่งเป็นโรคโลน ก็อาจถ่ายทอดโรคนี้ไปยังบุคคลอื่นได้ผ่านการสัมผัส หรือการใช้สิ่งของร่วมกัน
อาการโรคโลน
อาการของโลนจะเริ่มแสดงออกในไม่กี่สัปดาห์หลังจากติดโรคโลนมาจากผู้อื่น โดยอาการในผู้หญิง และผู้ชายจะคล้ายกัน ดังนี้
สังเกตเห็นแมลงตัวเล็กมากๆ ตามขนที่อวัยวะเพศ มีสีน้ำตาลอ่อน หรือสีเทาขาว และมีลักษณะคล้ายปูตัวเล็กๆ หากมีสีเข้มขึ้นเมื่อไหร่ แสดงว่าโลนตัวนั้นได้กินเลือดเข้าไปแล้ว
ไข่ตัวโลนจะเกาะอยู่ด้านล่างโคนขนที่อวัยวะเพศ มีขนาดเล็กมาก และยากที่จะมองเห็น โดยจะมีลักษณะเป็นรูปไข่ มีสีเหลือง สีขาว หรือสีม่วง อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนหลายๆ ใบ
บริเวณอวัยวะเพศเป็นแผล และมีรอยขีดข่วนเล็กน้อย หรือมีตุ่มแดง รอยโดนกัดที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก บริเวณใกล้เคียง หรือบริเวณที่มีขนและตัวโลนเกาะอยู่ เช่น ใต้รักแร้ หน้าอก แผ่นหลัง หนวด เครา ขนตา
ระคายเคือง หรืออาการคันมากในบริเวณอวัยวะเพศ
มีอาการคันมากผิดปกติ และคันรุนแรงมากขึ้นเวลากลางคืน
พบจุดสีน้ำตาล บนเส้นขน นั่นคือไข่ของโลน
พบจุดสีดำ เป็นสะเก็ด หรือผงสีดำติดตามบริเวณกางเกงชั้นใน นั่นคือมูลของโลนที่ติดออกมา
มีจุดสีน้ำเงินหรือจุดเลือดติดบนกางเกงชั้นใน และบนผิวหนัง ซึ่งเป็นจุดที่อาจถูกตัวโลนกัด โดยเฉพาะบริเวณต้นขา ท้องส่วนล่าง
มีเปลือกไข่โลนที่อาจติดอยู่บริเวณหนังศีรษะ เส้นผม
บางรายเกิดอาการแผลติดเชื้อบริเวณที่คัน เนื่องจากมีการเกาที่รุนแรง
บางรายมีไข้ต่ำ ๆ ไม่มีแรง หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่ายเนื่องจากอาการคัน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคโลน
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ได้ดังนี้
การติดเชื้อที่ผิวหนัง อาการคันที่เกิดจากโลน อาจทำให้ต้องเกาบริเวณที่คันบ่อย ๆ จนรู้สึกระคายเคือง และอาจนำไปสู่การติดเชื้อ เป็นแผลพุพอง หรือฝีที่ผิวหนังได้
การติดเชื้อที่ดวงตา ในบางกรณีโลนอาจแพร่กระจายไปเกาะบริเวณขนตาได้ และทำให้เกิดภาวะเยื่อบุตาอักเสบ เปลือกตาอักเสบได้
หากอาการไม่รุนแรงมากนัก อาจไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์ แต่หากเกิดอาการระคายเคืองที่ผิวหนัง หรือเจ็บตาอย่างรุนแรงควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาจะดีที่สุด
การวินิจฉัยโรคโลน
ในเบื้องต้นผู้ป่วย ควรสังเกตว่าอยู่ในภาวะติดโลนหรือไม่ โดยดูจากตัวโลน หรือไข่ของโลนบริเวณขนบริเวณอวัยวะเพศ หรือบริเวณอื่น ๆ ในร่างกาย เช่น ขนคิ้ว ขนตา หนวด เครา ใต้รักแรก ขาหนีบ เป็นต้น หากไม่มั่นใจว่าติดโลนหรือไม่ ควรไปพบแพทย์ เพื่อทำการวินิจฉัยโรค โดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
โดยแพทย์จะซักประวัติเกี่ยวกับอาการที่มี และปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดการติดโลน และตรวจร่างกายบริเวณอวัยวะเพศ อาจใช้แว่นขยายส่องหาตัวโลน และไข่ของโลน หากพบว่ามีตัวโลนอาศัยอยู่ภายในร่างกาย แพทย์จะวางแผนรักษาต่อไป
การรักษาโรคโลน
โดยทั่วไปแล้วโลนสามารถรักษาให้หายได้ด้วยแชมพู โลชั่น หรือครีมที่มีส่วนประกอบของสารเคมีที่มีฤทธิ์ในการกำจัดแมลงจำพวกโลน หรือเหา โดยแพทย์ หรือเกสัชจะแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผู้ใช้มากที่สุด
ผู้ใช้จะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และเอกสารกำกับยา ตัวยาที่ใช้ได้แก่ เพอร์เมทริน (Permethrin) ซึ่งมีวิธีการใช้ดังต่อไปนี้
ทายาบริเวณที่มีอาการ หรือบริเวณที่มีเส้นขนเยอะ ๆ เช่น บริเวณอวัยวะเพศ คิ้ว หนวด เครา ยาบางชนิดอาจจำเป็นต้องทาทั่วร่างกายเพื่อป้องกันโลน
หากใช้ยาดังกล่าวใกล้กับตาเกินไป จนตัวยาเข้าตาควรรีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดโดยเร็วที่สุด
ยาบางชนิดอาจต้องทาทิ้งไว้แล้วล้างออกในภายหลัง หากครบกำหนดเวลาแล้วควรล้างออกให้สะอาด
การรักษาด้วยยาครั้งแรกมักจะเป็นการกำจัดตัวโลนที่อยู่ในร่างกาย ดังนั้น ไข่ที่ยังไม่ฟักจึงไม่ถูกทำลาย ภายหลังการใช้ยาครั้งแรก 3-7 วัน จึงควรใช้ซ้ำเพื่อกำจัดตัวโลนที่เพิ่งออกมาจากไข่ แต่หากใช้ยาซ้ำเป็นครั้งที่ 2 แล้วอาการยังไม่ทุเลาลง หรือการรักษาไม่ได้ผล ควรกลับไปปรึกษาแพทย์ และไม่ควรใช้ยาซ้ำเพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ เช่น ผิวหนังระคายเคือง มีอาการคัน ผิวหนังแดง หรือปวดแสบปวดร้อน เป็นต้น
ทั้งนี้ ยังมียาชนิดอื่น ๆ ที่มักใช้ในการรักษาหากยาเพอร์เมทรินใช้ไม่ได้ผล ได้แก่
มาลาไทออน (Malathion) เป็นยารักษาโลนที่อยู่ในรูปของโลชั่น โดยทาทิ้งไว้ 8-12 ชั่วโมงแล้วล้างออก
ลินเดน (Lindane) เป็นยาที่แรงที่สุด และมีส่วนประกอบของสารเคมีที่เป็นพิษ มักถูกใช้ในการรักษาโลน วิธีการใช้คือนำยาดังกล่าวมาชโลมทิ้งไว้ 4 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด ทั้งนี้ ยาดังกล่าวไม่ควรใช้กับเด็กทารก หรือสตรีที่อยู่ในระหว่างให้นมบุตรโดยเด็ดขาด
ไอเวอร์เมคติน (Ivermectin) ยากลุ่มนี้มีการใช้รักษาโรคจากปริสิต เช่น เหา ต้องจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น มีทั้งแบบทา และแบบรับประทาน
ในกรณีที่มีตัวโลนอาศัยอยู่บริเวณขนตา ซึ่งพบได้น้อย สามารถนำตัวโลนออกได้ด้วยการใช้เล็บหรือหวีสาง แต่ต้องใช้ยาเพื่อรักษาให้หายขาดด้วย ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ในเรื่องการรักษา แพทย์จะสั่งยาชนิดทาซึ่งเป็นยาใช้เฉพาะที่บริเวณดวงตาเพื่อให้ผู้ป่วยใช้ทาบริเวณขอบตา วันละ 2 -4 ครั้ง ติดต่อกัน 10 วัน นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้วาสลีนที่ใช้ทั่วไปเพราะอาจทำให้ดวงตาระคายเคืองได้
วิธีกำจัดโลนให้หายขาด
หลังจากเสร็จสิ้นการรักษาด้วยยาแล้ว ส่วนใหญ่ไข่โลนจะติดค้างอยู่ตามขน ให้ใช้หวีละเอียดสางออกไป
ล้าง หรือซักแห้งผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดตัว และเสื้อผ้าทั้งหมดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ โดยใช้น้ำอุ่น และผึ่งให้แห้งกลางแดด หรืออบแห้งเป็นเวลาอย่างน้อย 20 นาที
หากไม่สามารถซักได้ ให้ใส่ถุงเก็บไว้เป็นเวลา 2 สัปดาห์ หรือจนกว่าโลนและไข่โลนจะตายลง
ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์หรือการสัมผัสใกล้ชิดใดๆ จนกว่าจะเสร็จสิ้นการรักษาและหายขาดดี ในช่วงเวลานี้ก็ควรตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ร่วมด้วย
ถ้ายังคงเห็นโลนอยู่หลังจากเสร็จสิ้นการใช้ยาไปแล้วประมาณ 9-10 วัน ให้เริ่มรักษาใหม่อีกครั้ง และให้แน่ใจว่าได้ล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่สัมผัส รวมถึงคู่นอนก็ต้องเข้ารับการรักษาด้วย แต่ถ้าโลนยังคงไม่หายไปอีก คุณควรเข้ารับการตรวจรักษาโดยแพทย์
การป้องกันโรคโลน
ป้องกันโรคโลนได้ ด้วยการหลีกเลี่ยงจากความเสี่ยงในการติดโลน ดังนี้
ดูแลสุขอนามัยของตัวเองให้สะอาดอยู่เสมอ
หลีกเลี่ยงการมีกิจกรรมทางเพศกับผู้ที่ติดโลน เนื่องจากการมีกิจกรรมทางเพศร่วมกันในระหว่างที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งติดโลน จะทำให้เกิดแพร่กระจายได้ง่าย ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงจนกว่าจะรักษาโลนให้หายดีก่อน
หลีกเลี่ยงการใช้ เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว หรืออุปกรณ์เครื่องนอนกับผู้ป่วย แม้ว่ามีโอกาสน้อยในการติดโลนผ่านเสื้อผ้า แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงเพราะโลนสามารถอาศัยอยู่ในเนื้อผ้าได้ในระยะสั้น ๆ หากใช้สิ่งของดังกล่าวต่อกันก็อาจทำให้ตัวโลนแพร่กระจายไปยังผู้อื่นได้
ชำระล้างร่างกายให้สะอาด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดโลน โดยเฉพาะหลังมีกิจกรรมทางเพศ
หลีกเลี่ยงการลองชุดในห้างสรรพสินค้า ในการซื้อเสื้อผ้า ควรหลีกเลี่ยงการลองเสื้อผ้าจะดีที่สุด โดยเฉพาะชุดว่ายน้ำ หากต้องลองควรสวมใส่ชุดชั้นในขณะลองเพื่อป้องกันการติดโลน หรือเชื้อโรคอื่น ๆ ที่เป็นอันตราย
หมั่นทำความสะอาดเครื่องนอน ผ้าเช็ดตัว หรือของใช้ส่วนตัวที่ใช้ร่วมกับผู้ป่วยโรคตัวโลน ซักทำความสะอาดในน้ำร้อนอุณหภูมิมากกว่า 50 องศาเซลเซียส หรือนำเข้าเครื่องอบผ้าที่มีความร้อนสูงยาวนาน 30 นาที
การรู้จัก และเข้าใจเกี่ยวกับตัวโลน ที่เป็นต้นต่ออาการคันในที่ลับ เป็นสิ่งสำคัญช่วยให้เราสามารถสังเกตอาการ ทำการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อป้องกันการติดโรคโลน รวมถึงช่วยลดโอกาสในการแพร่โรคโลนไปยังผู้อื่นได้อีกด้วย เพื่อทำให้ทุกคนสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีสุขภาพที่ดี และปลอดภัยจากโรคโลน
Comments