รายงานฉบับใหม่จากองค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Infections: STI) เช่น ซิฟิลิส หนองในแท้ และหนองในเทียม โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น และผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูง แม้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีความก้าวหน้าด้านการรักษา และป้องกันเอชไอวี และไวรัสตับอักเสบ แต่สถานการณ์ STIs ยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวลในหลายภูมิภาคของโลก
ความท้าทายในการจัดการปัญหาเกี่ยวกับเอชไอวี และไวรัสตับอักเสบ
แม้จะมีความก้าวหน้าในด้านการใช้ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy: ART) เพื่อควบคุมเอชไอวี และการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี แต่ปัญหาที่พบ คือ การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ไม่ทั่วถึงในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มประชากรชายขอบ เช่น ชายรักชาย ผู้ใช้สารเสพติด และผู้ประกอบอาชีพขายบริการทางเพศ
การขาดความตระหนักรู้ และการตีตราทางสังคมยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้าถึงการตรวจ และการรักษา หลายคนยังหลีกเลี่ยงการตรวจหาเชื้อเอชไอวี หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เนื่องจากกลัวการถูกเลือกปฏิบัติ
ปัจจัยที่ส่งผลทำให้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้น
พฤติกรรมเสี่ยงในกลุ่มวัยรุ่น วัยรุ่นมีแนวโน้มมีพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงสูงขึ้น เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยครั้ง
การขาดการศึกษา และการป้องกันที่เหมาะสม ระบบการศึกษาที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความรู้ด้านเพศศึกษา และวิธีป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทำให้คนส่วนใหญ่ยังคงมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคเหล่านี้
ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 การล็อกดาวน์ และการจำกัดการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ในช่วงโควิด-19 ทำให้หลายคนไม่ได้รับการตรวจ หรือการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างทันท่วงที
แนวทางแก้ไข
ส่งเสริมการให้ความรู้ด้านเพศศึกษา การให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น การใช้ถุงยางอนามัย และการตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ
การรณรงค์ลดการตีตรา สร้างความเข้าใจในสังคมว่า เอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย พร้อมส่งเสริมให้ผู้ป่วยกล้าเข้าถึงการรักษา
พัฒนาการเข้าถึงบริการสุขภาพ ขยายบริการตรวจ และรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไปยังพื้นที่ห่างไกล พร้อมสนับสนุนการใช้เทคโนโลยี เช่น การตรวจสุขภาพทางเพศผ่านแอปพลิเคชัน
สถานการณ์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในประเทศไทย
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเพิ่มขึ้นของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรคซิฟิลิส หนองใน และหนองในเทียม สถิติจากกรมควบคุมโรคระบุว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อัตราผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-24 ปี เพิ่มขึ้นกว่า 30% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการเร่งพัฒนามาตรการป้องกัน และการเข้าถึงบริการสุขภาพทางเพศ
ความท้าทายของประเทศไทยในการควบคุมเอชไอวี และไวรัสตับอักเสบ
แม้ว่าประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าในด้านการรักษาเอชไอวี ด้วยยาต้านไวรัส (ARV) และการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี แต่ยังมีความท้าทายหลายประการ เช่น
การตีตรา และอคติทางสังคม ผู้ติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มักถูกสังคมมองในแง่ลบ ส่งผลให้หลายคนไม่กล้าไปตรวจหรือรักษา
การขาดการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ในพื้นที่ชนบท ชุมชนห่างไกลยังคงมีข้อจำกัดในการเข้าถึงการตรวจ และรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และเอชไอวี
พฤติกรรมเสี่ยงในกลุ่มวัยรุ่น และคนหนุ่มสาว การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และการขาดความรู้เรื่องสุขภาพทางเพศทำให้กลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูง
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในประเทศไทย
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางเพศ ความสะดวกสบายในการหาคู่นอนผ่านแอปพลิเคชันทำให้เกิดการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยขึ้น
การขาดเพศศึกษาในโรงเรียน หลายโรงเรียนยังไม่ได้สอนเพศศึกษาอย่างเหมาะสม ส่งผลให้นักเรียนขาดความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรค
การระบาดของโควิด-19 การเข้าถึงบริการตรวจ และรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ลดลงในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19
แนวทางการป้องกัน และแก้ไขในประเทศไทย
ส่งเสริมเพศศึกษาในทุกระดับการศึกษา ควรจัดให้มีการสอนเพศศึกษาที่ครอบคลุมทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และวิธีป้องกันโรค
การรณรงค์ลดการตีตรา สร้างความเข้าใจในชุมชนว่า เอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย พร้อมส่งเสริมให้ประชาชนตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ
การขยายบริการสุขภาพทางเพศในพื้นที่ห่างไกล จัดตั้งคลินิกเคลื่อนที่ และให้บริการผ่านระบบออนไลน์เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
การแจกถุงยางอนามัยฟรีในกลุ่มเสี่ยง กระทรวงสาธารณสุขควรเพิ่มการแจกจ่ายถุงยางอนามัยในโรงเรียน มหาวิทยาลัย และสถานบันเทิง
การเพิ่มขึ้นของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในปัจจุบันเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญต่อระบบสาธารณสุขทั่วโลก การแก้ปัญหานี้จำเป็นต้องใช้แนวทางแบบองค์รวม ทั้งการให้ความรู้ การลดการตีตรา และการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่เท่าเทียม
Comments