เชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) เป็นหนึ่งในโรคที่ก่อให้เกิดโรคเอดส์ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในวงกว้าง โรคนี้มีผลกระทบต่อร่างกาย และจิตใจของผู้ติดเชื้อเอชไอวีอย่างรุนแรง การที่เราเข้าใจถึงสายพันธุ์ไวรัสเอชไอวีมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากมันช่วยให้เราสามารถจัดการกับการแพร่เชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) มีหลายสายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์มีความแตกต่างกันในด้านโครงสร้างพันธุกรรม พฤติกรรมการแพร่กระจาย ความรุนแรงของโรค และการตอบสนองต่อยาต้านไวรัส
สายพันธุ์ไวรัสเอชไอวี คืออะไร?
สายพันธุ์ของเชื้อไวรัสเอชไอวี เป็นเชื้อที่สามารถกลายพันธุ์(Mutatuion)ได้รวดเร็ว ในร่างกายของผู้ติดเชื้อคนๆหนึ่งจะพบเชื้อไวรัสเอชไอวีสายพันธุ์ต่างๆ ได้หลายชนิด จึงต้องมีการจัดจำแนกชนิดของเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยใช้ข้อมูลรหัสพันธุกรรมที่มีความคล้ายคลึงกันเป็นเกณฑ์ในการคัดกรอง โดยสามารถแบ่งออกเป็น types, groups และ subtypes โดยเชื้อไวรัสเอชไอวีมีสองสายพันธุ์หลัก คือ HIV-1 และ HIV-2 ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดย HIV-1 เป็นสายพันธุ์ที่พบมากที่สุดและเป็นที่รู้จักในโลก ในขณะที่ HIV-2 พบได้มากที่ภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกและบางพื้นที่ของเวียดนาม
ความแตกต่างระหว่าง HIV-1 และ HIV-2
HIV-1 เป็นเอชไอวีชนิดที่พบบ่อยที่สุดและเกิดขึ้นทั่วโลก โดยพบว่าประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีเชื้อ HIV-1 เป็นสาเหตุสำคัญของโรคเอดส์ทั่วโลก โดยทั่วไปหากไม่ได้ระบุว่าเป็นเชื้อไวรัสเอชไอวีชนิด HIV-2 มักจะหมายถึงเชื้อไวรัสเอชไอวีชนิด HIV-1 โดยปริยาย
HIV-2 พบได้น้อยมาก ส่วนใหญ่พบในแอฟริกาตะวันตก แต่เริ่มปรากฏอย่างช้าๆในภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงสหรัฐอเมริกายุโรปและอินเดีย
เชื้อไวรัสเอชไอวีชนิด HIV-2 ติดต่อได้ยากกว่าเชื้อไวรัสเอชไอวีชนิด HIV-1
ระยะเวลาระหว่างการติดเชื้อครั้งแรกกับเมื่อปรากฏอาการของโรคของเชื้อไวรัสเอชไอวีชนิด HIV-2 นานกว่าเชื้อไวรัสเอชไอวีชนิด HIV-1
เชื้อไวรัสเอชไอวีทั้งสองชนิดติดต่อทางเพศสัมพันธุ์ เลือดและผลิตภัณฑ์จากเลือด และติดต่อจากมารดาสู่ทารก เมื่อเกิดเป็นโรคเอดส์ขึ้นแล้ว ลักษณะอาการของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเอชไอวีทั้งชนิด HIV-1และ HIV-2 ไม่แตกต่างกัน
แม้ว่าเอชไอวี -1 และเอชไอวี -2 เป็นรีโทรไวรัสที่อาจมีผลกระทบคล้ายกันในร่างกายมนุษย์ แต่ก็มีความแตกต่างกันทางพันธุกรรม พบว่าจีโนมของไวรัสทั้งสองมีเอกลักษณ์เฉพาะลำดับ 55 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหมายความว่าการทดสอบ และการรักษาไม่ได้ผลกับเอชไอวีทั้งสองประเภท
HIV-2 มีแนวโน้มที่จะพัฒนาช้ากว่า HIV-1ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อ HIV-2 อาจมีช่วงเวลาที่ไม่มีอาการนานกว่าคนที่ติดเชื้อ HIV-1 และอัตราการลุกลามไปยัง HIV ระยะที่ 3 นั้นช้ากว่า HIV-2 ยังมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า HIV-1
ความสำคัญของการทราบสายพันธุ์ไวรัสเอชไอวี
การทราบถึงสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสเอชไอวีมีผลต่อการจัดการกับโรคและการรักษา เนื่องจากบางสายพันธุ์อาจมีความทนทานต่อยาต้านไวรัสมากกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ ดังนั้น การตรวจสอบสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสก่อนเริ่มการรักษาอาจมีประโยชน์ในการกำหนดยาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วย
การแพร่เชื้อของแต่ละสายพันธุ์ไวรัสเอชไอวี
HIV-2 ส่งต่อได้ยากกว่า HIV-1 เพราะรูปแบบการแพร่เชื้อ HIV-2 ที่พบบ่อยที่สุด คือ การมีเพศสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม อย่างไรก็ตามอัตราการแพร่เชื้อ HIV-2 โดยเพศตรงข้ามนั้นต่ำกว่า HIV -1 ประมาณ 5 ถึง 10 เท่า
ระหว่างมารดากับทารกอัตราการแพร่เชื้อ HIV-2 ต่ำกว่า HIV-1 ถึง 20–30 เท่า
บุคคลสามารถติดเชื้อเอชไอวีประเภทใดประเภทหนึ่งผ่านการสัมผัสโดยตรงกับของเหลวในร่างกายที่มีไวรัส ได้แก่ เลือด, สารคัดหลั่งทางเพศ, น้ำนม
ปัจจัยเสี่ยงในการแพร่เชื้อ HIV-1 และ HIV-2 ได้แก่ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยและใช้เข็มหรือหลอดฉีดยาร่วมกัน
การวินิจฉัยสายพันธุ์ไวรัสเอชไอวี
ความแตกต่างทางพันธุกรรมระหว่าง HIV-1 และ HIV-2 หมายความว่า หากบุคคลทำการทดสอบ HIV-1 อาจตรวจไม่พบ HIV-2 สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV-2 มากขึ้น ผู้ให้บริการด้านการแพทย์อาจตรวจหาแอนติบอดีหรือแอนติเจนของ HIV-2
การรักษาตามสายพันธุ์ไวรัสเอชไอวี
ในการรักษาเอชไอวีผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพมักจะสั่งยาหลายชนิดที่เรียกว่าการรักษาด้วยยาต้านไวรัส การรับประทานยาเหล่านี้ทุกวันตามคำสั่งแพทย์ สามารถช่วยชะลอการลุกลามของเอชไอวีป้องกันการแพร่เชื้อและช่วยปกป้องระบบภูมิคุ้มกัน เนื่องจากความแตกต่างทางพันธุกรรมผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพอาจกำหนดชุดยาที่แตกต่างกันสำหรับการรักษา HIV-1 และ HIV-2
HIV-2 ไม่ตอบสนองต่อยาบางชนิดที่สามารถรักษา HIV-1 ได้ ซึ่งรวมถึง
non-nucleoside reverse transcriptase inhibitors
enfuvirtide
การบริการด้านการดูแลสุขภาพอาจกำหนดชุดยาที่แตกต่างกัน แต่ก็ยังติดตามความคืบหน้าของผู้ติดเชื้อในลักษณะเดียวกัน ซึ่งรวมถึงการตรวจปริมาณไวรัส และจำนวนเซลล์ CD4 ซึ่งผู้ที่ติดเชื้อ HIV-2 มักจะมีปริมาณไวรัสน้อยลง หรือมีไวรัสอยู่ในเลือดมากกว่าผู้ที่ติดเชื้อ HIV-1 เมื่อรวมกับจำนวนเซลล์ CD4 ซึ่งเป็นวิธีการระบุว่าระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงเพียงใดปริมาณไวรัส จะเป็นตัวบ่งบอกให้แพทย์ที่ทำการรักษาของผู้ติดเชื้อ ว่ายาต้านไวรัสเอชไอวีนั้นได้ผลดีเพียงใดต่อการรักษาผู้ติดเชื้อ
การทราบถึงสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสเอชไอวีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เรามีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับโรคนี้ และช่วยในการพัฒนายาและกลยุทธ์ในการป้องกันและรักษาโรคเอดส์อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง การวิจัยเพิ่มเติมในสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสเอชไอวีนั้นยังมีความสำคัญอย่างมากเพื่อการควบคุมโรคในอนาคต
Comments