top of page
Siri Writer

ทำไม Viral Load ถึงมีความสำคัญในการรักษาเอชไอวี

Updated: Dec 27, 2023

การเข้าใจปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวีในเลือด ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี เพราะเป้าหมายของการรักษาด้วยยาต้านไวรัส ก็เพื่อการควบคุมระดับไวรัสเอชไอวีในร่างกายของผู้ป่วย และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเมื่อค่า Viral load มีการเปลี่ยนแปลง  ซึ่งเป็นปัจจัยในการรักษาสุขภาพของผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ด้วยการตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวี  เพื่อดูระดับของเชื้อไวรัสเอชไอวีในเลือด สำหรับการวางแผนการรักษา และการดูแลตัวเองต่อไป

Viral Load มีความสำคัญในการรักษาเอชไอวี: การวัด Viral Load เป็นการประเมินปริมาณไวรัสในร่างกาย เป็นข้อมูลที่สำคัญในการปรับแผนการรักษา เพื่อควบคุมและดูแลผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ทำไม Viral Load ถึงมีความสำคัญในการรักษาเอชไอวี

Viral load คืออะไร?

Viral load  หรือ ค่า VL คือ ปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวี ในเลือด 1 มิลลิลิตร (Cells/cu.mm) 

  • ถ้าเมื่อไหร่ปริมาณของเชื้อไวรัสเอชไอวีในเลือด เหลือน้อยกว่า 50 ตัว (ก๊อปปี้) ต่อ 1 มิลลิลิตรของเลือด ทางการแพทย์จะเรียกว่า เป็นสถานการณ์ ควบคุมไวรัสได้ เป็นการควบคุมไม่ให้เชื้อไวรัสก๊อบปี้ตัวเพิ่ม  นั่นแสดงว่า เชื้อไวรัสเอชไอวีในเลือด และของเหลวในร่างกายมีน้อยมากแล้วนั่นเอง

  • ถ้าเมื่อไหร่ที่ปริมาณของเชื้อไวรัสเอชไอวีในเลือดสูง แสดงว่า ยาที่ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีกิน ไม่สามารถควบคุมเชื้อไวรัสเอชไอวีได้ มีการก๊อบปี้ตัวเพิ่มขึ้น เพราะว่ายิ่งมีปริมาณของเชื้อไวรัสเอชไอวีในเลือดมาก ก็ยิ่งทำให้จำนวนของ CD4 ลดลง จึงทำให้เกิดการติดเชื้อโรคฉวยโอกาสอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น

ฉะนั้นผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี จึงจำเป็นต้องรับยาต้านไวรัส อย่างต่อเนื่องและตลอดไป เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเอชไอวี ในเลือดเพิ่มปริมาณจนมากกว่า 50 ตัว/มิลลิลิตร ซึงผลเสีย คือ ยาต้านไวรัส มีผลข้างเคียงเยอะมาก ทำให้ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีมากมาย ไม่ต้องการที่จะใช้ยาต้านไวรัส แต่ในปัจจุบันมีอีกหลายช่องทางเพื่อที่ช่วยให้ลดปริมาณเชื้อเอชไอวีในร่างกาย และช่วยเพิ่ม CD4 ได้


ทำไมจึงต้องตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวี?

  • การตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวี เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจในการรักษา หากผู้ป่วยมีเชื้อไวรัสเอชไอวี อาจต้องเริ่มกินยาทันที หลังจากการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสเอชไอวี  โดยเริ่มแรกต้องทำการตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวี เพื่อดูว่ามีไวรัสเอชไอวีอยู่ในเลือดมากแค่ไหน ข้อมูลนี้ช่วยให้แพทย์เลือกยาที่เหมาะกับผู้ป่วย ซึ่งผลการตรวจครั้งแรกของผู้ป่วย จะใช้เพื่อการเปรียบเทียบกับผลการตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวี ในภายหลังเพื่อดูว่ายาที่ใช้งานได้ผลหรือไม่

  • การตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวี เพื่อดูว่าการรักษาเอชไอวีได้ดีเพียงใด และเพื่อติดตามการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีของผู้ป่วย  โดยเป้าหมายของการรักษา คือ ลดปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวีในเลือด ให้เหลือน้อยจนกว่าจะมีน้อยเกินไปที่จะตรวจหาเชื้อได้ ซึ่งผู้ป่วยจะต้องได้รับการตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวีเป็นประจำ เพื่อดูว่าปริมาณไวรัสลดลงเพียงพอหรือไม่ การตรวจหาปริมาณไวรัส มักจะทำ:

    • ก่อนที่คุณจะเริ่มรับประทานยา

    • ประมาณสองถึงแปดสัปดาห์หลังจากเริ่ม หรือเปลี่ยนยาที่รักษา

    • ทุกสามถึงหกเดือนเพื่อติดตามการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ว่าการรักษาด้วยยานั้นทำงานได้ดีหรือไม่


วิธีตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวี มีดังนี้

  • การตรวจ Reverse-transcriptase polymerase chain reaction (RT-PCR)

  • การตรวจ Branched DNA (bDNA)

  • การตรวจ Nucleic acid sequence-based amplification (NASBA)

การตรวจเหล่านี้เป็นการตรวจหาปริมาณสารพันธุกรรม (RNA) ของไวรัสเอชไอวีในเลือด แต่การตรวจแต่ละประเภทมีรายงานผลการตรวจแตกต่างกัน จึงเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ผลการตรวจเดิมเมื่อเวลาผ่านไป

ภาพถ่ายทำไมจึงต้องตรวจ Viral Load: การตรวจวัด Viral Load เป็นขั้นตอนสำคัญในการดูแลสุขภาพผู้ติดเชื้อ ช่วยให้เข้าใจระดับไวรัสในร่างกายและปรับการรักษาอย่างเหมาะสม
ทำไมจึงต้องตรวจ Viral Load

ข้อควรทราบก่อนการตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวี

  • ผลจากการตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวี ในวิธีต่าง ๆ (RT-PCR, bDNA, NASBA) เพื่อตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวีไม่สามารถสับเปลี่ยนได้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นต้องใช้วิธีเดิมในการตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวีในแต่ละครั้ง

  • ผลการตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวี ที่ไม่สามารถตรวจจับได้ ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่มีไวรัสเอชไอวีในเลือดอีกต่อไป แค่หมายความว่า จำนวนไวรัสเอชไอวีในเลือดมีค่าต่ำเกินไป ในการตรวจจับจากการตรวจวัดได้ เชื้อเอชไอวียังคงสามารถแพร่กระจายไปยังคนอื่นได้ แม้กระทั่งไม่สามารถตรวจจับได้

  • การตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวีไม่ได้ใช้เป็นปกติในการวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี การทดสอบแอนติบอดีเอชไอวีใช้เพื่อวัตถุประสงค์นี้

  • การตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวีด้วยวิธี PCR มีความอ่อนไหวมาก ซึ่งสามารถทำให้ได้ผลตรวจที่มีค่าบวกที่เป็นเท็จได้มากขึ้นมีหลายวิธีในการตรวจวัดค่าไวรัสเอชไอวี ซึ่งผลการตรวจไม่สามารถสับเปลี่ยนได้ จึงเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ผลการตรวจเดิมในแต่ละครั้ง


การตรวจ Viral Load มีประโยชน์อย่างไร?

การตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวี  ส่วนใหญ่จะตรวจหลังจากที่คุณได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสเอชไอวีแล้ว เพื่อแปลผลเรื่องต่างๆดังนี้

  • เป็นค่าบรรทัดฐาน (baseline measurement) เพื่อใช้เป็นค่าเปรียบเทียบกับผลการตรวจหาปริมาณในอนาคตได้

  • เป็นแนวทางในการตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาของผู้ป่วย

  • ตรวจสอบว่ายารักษาการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ของคุณทำงานได้ดีเพียงใด

  • สังเกตการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีของผู้ป่วย

แพทย์อาจพิจารณาตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวีของผู้ป่วย ร่วมกับการตรวจ CD4 count เพื่อช่วยในการตัดสินใจว่าจะเริ่มการใช้ยาต้านรีโทรไวรัสเมื่อใดในบางกรณี อาจใช้การตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวี เพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยปกติแล้วจะใช้การตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัสเอชไอวีก่อน นั่นเป็นเพราะว่าการตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวีนั้น มีราคาค่อนข้างแพง แต่การตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวี สามารถตรวจพบเชื้อเอชไอวีได้เร็วกว่าการตรวจคัดกรอง ดังนั้นผู้ให้บริการดูแลสุขภาพอาจสั่งการทดสอบนี้ หากผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีสูงมาก


Viral load เป็นตัววัดที่สำคัญในการประเมินระดับการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีในร่างกาย เพราะการลดปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวี ถือเป็นเป้าหมายหลักในการรักษาเอชไอวี  เพื่อลดการทำลายระบบภูมิคุ้มกันของเชื้อไวรัสในร่างกาย ลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่น และยังช่วยในเรื่องของการปรับปรุงแผนการรักษาผู้ติดเชื้อไวรัส เพื่อให้สามารถควบคุมเชื้อไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ  และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อไวรัส ด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เป็นสิ่งสำคัญในการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวี

Comments


bottom of page