top of page
Siri Writer

ทำความเข้าใจกับ ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่ (U=U)

Updated: Nov 1, 2024

ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี จะมีชีวิตที่ยืนยาว และมีสุขภาพที่ดี โดยเข้ารับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) ซึ่งจะทำให้การตรวจไม่พบเชื้อไวรัสเอชไอวี  นั่นมาจากการรับประทานยาต้านไวรัส ทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี สามารถรักษาปริมาณไวรัสให้อยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบเป็นเวลาอย่างน้อยหกเดือน ซึ่งเป็นผลทำให้ไม่สามารถแพร่เชื้อเอชไอวีผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้ จึงเรียกว่า ไม่เจอเท่ากับไม่แพร (U=U)โดยส่วนมากผู้ติดเชื้อเอชไอวี จะมีปริมาณของไวรัส ในเลือดมากกว่า 200-1,000 copies/ซีซีของเลือด แต่ะเมื่อได้เข้ารับการรักษา ทำให้มีปริมาณของเชื้อไวรัส ในเลือดต่ำกว่า 50 copies/ซีซีของเลือด โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว เราจะเรียกกันว่า ตรวจไม่เจอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เชื้อไวรัสเอชไอวีที่อยู่ภายในร่างกายได้หมดไปแล้ว เพียงแต่ จะมีปริมาณที่เหลือน้อยมาก ๆ จนทำให้ตรวจไม่เจอเชื้อไวรัสเอชไอวีเท่านั้น

ภาพรวมความเข้าใจกับ ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่ (U=U) - แนวคิดที่กำลังเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการในการรักษาเอชไอวีและป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส
ทำความเข้าใจกับ ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่ (U=U)

ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่ คืออะไร?


ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่ หรือ Undetectable = Untransmittable หรือ U=U


U ตัวแรกคือ Undetectable หมายถึง ตรวจไม่เจอเชื้อ และ 


U ตัวที่สองก็คือ Untransmittable หมายถึง ไม่สามารถแพร่เชื้อต่อได้ 


หมายถึง ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี ได้รับเข้ารับการรักษา และกินยาต้านไวรัสเอชไอวี อย่างรวดเร็ว และกินยาตรงเวลาอย่างต่อเนื่อง จนกดปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวีให้มีจำนวนลดลงจนถึงระดับที่ไม่สามารถตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวีในเลือดได้ คือ ผลการตรวดวัดปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวีในเลือดของผู้ติดเชื้อ มีค่าน้อยกว่า 50 copies/ซีซีของเลือด (อาจมีค่าน้อยกว่า 40 หรือ 20 copies/ซีซีของเลือด ขึ้นอยู่กับความสามารถของชุดตรวจ)  และมีหลักฐานชัดเจนว่า คนเหล่านี้จะไม่แพร่เชื้อไปสู่คู่นอนของตัวเอง ถึงแม้ว่าขณะมีเพศสัมพันธ์จะไม่สวมถุงยางอนามัย และยังคงมีเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกาย แต่ปริมาณน้อยจนไม่สามารถแพร่เชื้อต่อได้เท่านั้นเอง

ภาพรวมเกี่ยวกับตรวจเอชไอวีไม่เจอ เป็นเพราะอะไร : แนวคิดเกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้ผลตรวจไม่พบไวรัสเอชไอวี และสาเหตุที่เกี่ยวข้อง
ตรวจเอชไอวีไม่เจอ เป็นเพราะอะไร

ตรวจเอชไอวี ไม่เจอ เป็นเพราะอะไร

จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี และเริ่มการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างถูกต้องเกิน 6 เดือนขึ้นไป และมีปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือดเหลือน้อยกว่า 40-50 copies/ซีซีของเลือด หรือที่เรียกว่า ตรวจไม่เจอ เป็นผลทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีคน ๆ นั้นจะไม่แพร่เชื้อให้ต่อผู้อื่นได้อีก เรียกว่า ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่   แต่แพทย์ก็ยังคงแนะนำให้สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ จึงถือว่าการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี เป็นการป้องกันที่ดีที่สุด ที่เรียกว่า Treatment is (the best) Prevention 


ซึ่งการที่ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถแพร่เชื้อเอชไอวีได้นั้น จะต้องมีปริมาณของเชื้อไวรัสมากพอสมควร คือ ต้องมีปริมาณไวรัสในเลือดตั้งแต่ 200 – 1,000 copies/ซีซีของเลือด จึงจะสามารถแพร่เชื้อได้  


กรณีที่จะตรวจไม่พบเชื้อเอชไอวี มีดังนี้

  • กรณีตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวีไม่พบเชื้อ เพราะตรวจเร็วเกินไป ผู้ที่ได้รับความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีมา บางคนอาจจะใจร้อน รีบตรวจเกินไป ซึ่งการตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวีที่ดีนั้น จะมีระยะเวลาของวิธีการตรวจที่เหมาะสม และเวลาที่ได้รับความเสี่ยงมา โดยประมาณ 1 เดือนหลังจากได้รับความเสี่ยง ถึงจะได้ผลตรวจที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือ สำหรับการตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวีรอบแรก หากตรวจไม่พบเชื้อ ก็ควรจะตรวจซ้ำอีกครั้งที่ทุกๆ 30 วัน เป็นเวลา 3 เดือน หากไม่พบเชื้อ ถึงจะสามารถปิดเคสได้

  • กรณีตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวีไม่พบเชื้อ เนื่องจากรับประทานยาต้านไวรัส ผู้ที่รับประทานยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง ในทุกๆ วัน อย่างถูกต้อง มานานกว่า 6 เดือนขึ้นไป อาจทำให้การตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวี ได้ผลว่าไม่เจอเชื้อ (undetectable) เพราะปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวีในเลือดต่ำกว่า 50 coppies / ซีซีของเลือด ซึ่งเป็นปริมาณน้อยจนตรวจไม่พบ และไม่แพร่เชื้อไปสู่คนอื่นได้ 


ประโยชน์ของ ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่ (U=U)

  • สำหรับผู้ติดเชื้อ มีแรงจูงใจในการกินยาต่อเนื่อง หมั่นไปตรวจหาปริมาณไวรัสในเลือดทุกปีตามสิทธิ์ และทำให้รับรู้สถานะของตนว่า ตรวจไม่เจอจริงหรือไม่ ส่งผลให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น เช่น มีครอบครัวได้ สุขภาพจิตดีขึ้น มีความมั่นใจตนเองมากขึ้น กล้าตัดสินใจเปิดเผยผลเลือดของตนให้คู่นอนทราบ กล้าชวนคู่ไปตรวจเอชไอวี กล้าตัดสินใจตั้งครรภ์ และเลิกโทษตัวเองว่าอาจเป็นเหตุทำให้คู่ของตนติดเชื้อ เพราะไม่สามารถใส่ถุงยางอนามัยได้ทุกครั้ง 

  • สำหรับคนทั่วไป ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงหรือผู้ที่ไม่เคยไปตรวจเลือดเลย กล้าที่จะไปตรวจ และเข้าสู่ขั้นตอนการรักษาในทันทีหากตรวจพบว่าติดเชื้อเอชไอวี นำไปสู่รักษาจนตรวจไม่พบเชื้อเอชไอวี นอกจากจะไม่ป่วยแล้ว ยังสามารถมีครอบครัวได้เหมือนคนปกติทั่วไป

  • สำหรับสังคม  เมื่อสังคมมีความเข้าใจเรื่อง ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่ แล้ว อาจทำให้การรังเกียจ และกีดกันผู้ติดเชื้อเอชไอวีลดน้อยลง สนับสนุนให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ระบบการรักษาเอชไอวี และไม่มีเหตุผลในการห้ามไม่ให้เข้าทำงาน เพราะผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับการรักษาแล้ว ไม่เป็นอันตรายต่อคู่นอนของเขาแม้จะไม่สวมถุงยางอนามัยก็ตาม และไม่เป็นอันตรายต่อคนในที่ทำงาน อีกทั้งผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับยาต้านไวรัส จะมีสุขภาพแข็งแรง และมีอายุขัยเท่าคนอื่น ๆ ที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี สามารถทำประโยชน์ให้กับองค์กรได้ไม่แตกต่างจากคนที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี และไม่เพิ่มภาระค่ารักษาพยาบาลให้กับองค์กร เพราะรัฐรับภาระการรักษาพยาบาลให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีทุกคน  

ภาพรวมการทำความเข้าใจกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่เป็นกลุ่ม U=U : การเข้าใจแนวคิดที่ระบุว่า ผู้ที่รักษาเอชไอวีตาม U=U ไม่สามารถถ่ายทอดไวรัสได้
การทำความเข้าใจกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่เป็นกลุ่ม U=U

การทำความเข้าใจกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่เป็นกลุ่ม U=U

คือ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ต้องกินยาต้านไวรัสเอชไอวี เป็นอย่างดีต่อเนื่องตรงเวลาจนตรวจไม่เจอเชื้อไวรัสเอชไอวีในเลือดแล้ว จึงจะไม่แพร่เชื้อให้กับใครได้ แต่ความเป็นจริงเชื้อเอชไอวียังคงอยู่ในเลือดอยู่ และผู้ติดเชื้อเอชไอวียังต้องกินยาต้านไวรัสเอชไอวีไปตลอดชีวิต ดังนั้นการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีจึงเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด 


แต่อีกสิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ เมื่อไม่มีการใช้ถุงยางอนามัย ก็มีความเสี่ยงในเรื่องการตั้งครรภ์ เพราะ กรณีแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวี แม้ผลเลือดจะเป็นตรวจไม่เจอเชื้อ แต่ก็ยังคงต้องกินยาต้านไวรัสเอชไอวี ถึงจะคลอดลูกแล้วก็ต้องกินยาป้องกันเหมือนเดิม รวมไปถึงการที่แม่ผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่สามารถให้นมบุตรได้ เพราะเชื้อเอชไอวียังถูกส่งผ่านทางน้ำนมไปสู่ลูกได้อยู่ถึงแม้ว่าผลเลือดของแม่จะเป็นตรวจไม่เจอเชื้อก็ตาม  และยังเสี่ยงต่อการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน ฯลฯ


เพราะฉะนั้นการไปตรวจเลือดหาเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยเร็วจึงมีประโยชน์  เมื่อเราทราบถึงสถานะผลเลือดเร็ว หากผลเลือดเป็นบวกก็เข้าสู่การรักษาเอชไอวีโดยเร็ว ทำให้มีสุขภาพที่ดี ใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนคนที่ไม่มีเชื้อ และต้องเน้นย้ำกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี คือ ผลเลือดตรวจไม่เจอเชื้อ แต่ในร่างกายยังคงมีเชื้อเอชไอวี หากยังคงมีพฤติกรรมเสี่ยงอยู่ การใช้ยา PrEP / PEP ก็ไม่สามารถให้ผลป้องกันได้ 100% และการใช้ถุงยางอนามัยยัง ก็ยังคงมีความสำคัญในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่ถึงแม้จะรักษาให้หายขาดไม่ได้


ภาพรวมความจริงเกี่ยวกับ ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่ (U=U) ที่ควรรู้ : ข้อมูลสาระสำคัญเกี่ยวกับแนวคิด U=U ที่ควรทราบเพื่อเพิ่มความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการรักษาเอชไอวี
ความจริงเกี่ยวกับ ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่ (U=U) ที่ควรรู้

ความจริงเกี่ยวกับ ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่ (U=U) ที่ควรรู้

  • ผู้ที่มีสถานะ U=U จะไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีให้ใครได้อีก U=U หมายถึง คนที่ติดเชื้อเอชไอวี แล้วกินยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องและตรงเวลา จนสามารถกดปริมาณไวรัสให้ต่ำถึงระดับที่ไม่สามารถตรวจหาไวรัสในเลือดพบ มีหลักฐานชัดเจนว่า คนเหล่านี้จะไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีทางเพศสัมพันธ์ให้ใครได้เลย ถึงแม้จะไม่ใส่ถุงยางอนามัย

  • U=U คือข้อเท็จจริงที่ได้รับการยอมรับ U=U ไม่ใช่งานวิจัย และไม่ได้กําลังรอผลการวิจัยใดๆ U=U เป็นความจริงที่พิสูจน์แล้วจากงานวิจัย ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทฤษฎี

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัยในกลุ่มคน U = U มีความเสี่ยงหรือไม่ถึง U=U จะไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อได้อีก แม้ไม่ใส่ถุงยางอนามัย แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เลิกใช้ถุงยางอนามัย  เพราะ U=U ไม่ได้บอกให้เลิกใช้ หรือห้ามใช้ถุงยางอนามัย ถึงคนที่ติดเชื้อเอชไอวีจะไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อให้คนอื่นได้เลย แต่ก็มีความเสี่ยงยังมีอยู่ เพราะหากมีเพศสัมพันธ์ในกลุ่ม U = U อาจจะป้องกันความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีได้ แต่ยังมีความเสียงต่อการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม ไวรัสตับอักเสบ หรือการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ ที่ไม่สามารถป้องกันได้หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช่ถุงยางอนามัย

  • U=U ไม่มีการติดเอชไอวีซ้ำซ้อนในอดีตเคยมีรายงานการติดเชื้อเอชไอวีซ้ําซ้อนในคนที่ติดเชื้อ และไม่ได้กินยาต้านไวรัส แต่ตั้งแต่มีการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างแพร่หลาย ยังไม่เคยมีรายงานการติดเชื้อซ้ำซ้อน หรือติดเชื้อดื้อยาจากคนอื่นในผู้ที่กินยาต้านไวรัสจนตรวจไม่พบเชื้อแล้วเลย 

  • U=U ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ติดเชื้อเอชไอวี และคู่ผู้มีสถานะ U=U สามารถมั่นใจได้เลยว่าจะไม่ถ่ายทอดเชื้อให้ใครอีก หากทานยาอย่างถูกต้อง อีกทั้ง U=U ยังเหมาะกับคู่ของคนที่ติดเชื้อเอชไอวีที่คงสถานะ U=U แล้ว เพราะนอกจากจะเป็นหนึ่งในวิธีการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีที่ดีที่สุดแล้ว ยังช่วยตอบโจทย์คู่ที่ต้องการตั้งครรภ์อีกด้วย ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีทุกคนมีสิทธิที่จะเลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุดกับตัวเอง 

  • U=U ช่วยลดการตีตราต่อผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีเมื่อทราบแล้วว่า U=U จะไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกต่อไปแม้ไม่ใช้ถุงยาง การกอด การกินข้าวร่วมกัน เรียนด้วยกัน ทำงานด้วยกัน เข้าห้องน้ำเดียวกัน หรืออยู่บ้านเดียวกัน ยิ่งไม่ติดแน่ๆ ดังนั้น รีบมาตรวจเอชไอวี เพื่อเริ่มการรักษาให้อยู่ในสถานะ U=U หากพบเชื้อ เพราะการมีเชื้อเอชไอวีไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิด 

  • U=U เหมาะกับใคร

  • เหมาะกับคนที่ติดเชื้อเอชไอวีที่กินยาอย่างถูกต้อง ที่จะมั่นใจได้ว่าจะไม่ถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีให้ใครได้อย่างแน่นอน

  • เหมาะกับคู่ของคนที่ติดเชื้อเอชไอวี U=U แล้ว เพราะ มั่นใจได้ว่าเป็นวิธีการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีที่ดีที่สุด




ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่ (U = U) เป็นแนวคิดที่มีความสำคัญในการจัดการ และป้องกันเชื้อเอชไอวี ไม่เพียงแต่จะสามารถควบคุมเชื้อเอชไอวี ให้อยู่ในระดับที่ไม่เจอได้แล้ว และยังไม่สามารถแพ่ร่เชื้อเอชไอวีไปยังผู้อื่นได้อีก ซึ่งเป็นผลมาจากการรักษาเอชไอวีด้วยยาต้านไวรัส (ART) ด้วยการกินยาที่ตรงเวลา และถูกต้อง อย่างสม่ำเสมอ ทำให้การรักษาเอชไอวีมีประสิทธิภาพ และยังเป็นแรงบันดาลใจที่ท้าทายในการเปลี่ยนแปลงมุมมอง และความเข้าใจเชิงบวกต่อการติดเชื้อเอชไอวี สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี คนรอบข้าง และคนสังคมต่อไปได้


Comments


bottom of page